ที่น่าประหลาดใจคือท่าทีของผู้บริหารช่อง 3 ที่ทำตัวราวกับสมคบคิดหรือสมรู้ร่วมคิดกับนักจัดรายการตัวทำเงินทำทองให้กับสถานี แม้ศาลตัดสินให้นายสรยุทธ ติดคุก แต่ผู้บริหารและบอร์ดช่อง 3 ยังอุ้มกะเตงไม่หวั่นเกรงต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั่วบ้านทั่วเมือง เป็นท่าทีของผีเน่ากับโลงผุ เพราะเราคู่กัน เพราะเรามีผลประโยชน์ร่วมกัน ไม่ใช่แค่เราคือคนใน “ครอบครัวเดียวกัน” แต่เพียงอย่างเดียว
ท่าทีไม่สะทกสะท้านจุดกระแสในสังคมออนไลน์ ไม่ใช่แค่การรณรงค์ต่อต้านอย่าปล่อยให้กรรมโกงข่าวลอยนวล แต่ลามไปยังสถานี อย่าปล่อยให้ทีวีช่อง 3 ลอยนวล ด้วยการชักชวน “งดดูทีวีช่อง 3 ฐานสนับสนุนคนขี้โกง” อีกด้วย
นั่นละฮะ “เรื่องเน่าเช้านี้” “สรยุทธ” จำใจลาจอ ก่อนทำ “ช่อง 3” ฉิบหายตายเห็นๆ
เหตุผล 3 ข้อ ของบอร์ดช่อง 3 ที่ให้กรรมโกงข่าวทำหน้าที่ต่อไปโดยไม่สั่งพักรายการหรือสั่งถอดนายสรยุทธพ้นจอ ซึ่งแถลงโดยนายสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ ปฏิบัติการแทนรักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอกเอนเตอร์เทนเมนท์ หรือสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ที่ว่ากรณีที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนร่วมงานกัน, คดียังไม่สิ้นสุด อยู่ระหว่างการพิสูจน์ในชั้นศาล และทางบริษัทกับนายสรยุทธทำงานเป็นครอบครัวเดียวกัน นั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่าการรักษาหม้อข้าวปกปักรักษาตัวทำเงินทำทองของช่องเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่าคำว่าจริยธรรมที่ช่อง 3 ในฐานะสื่อมวลชนพึงมี
“นับจากนี้ช่อง 3 ต้องน้อมรับคำวิจารณ์และประเมินท่าทีของสังคมต่อไป แต่มติบอร์ดขณะนี้ ถือเป็นที่สิ้นสุดและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน หากสังคมคิดว่า สุดโต่งก็ต้องน้อมรับ เพราะที่ผ่านมาถือว่า ทำงานเป็นครอบครัวเดียวกัน ต่อจากนี้ความสัมพันธ์ยังเป็นไปตามปกติ” นายสุรินทร์ กล่าวยืนยันท่าทีของช่อง 3 ต่อสาธารณชน
ขณะที่นายสรยุทธที่นั่งอ่านข่าวคำพิพากษาคดีบริษัทไร่ส้มของตัวเองในรายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” ประเดิมรายการเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2559 ยืนยันว่า “... เคารพในคำพิพากษานะครับ แต่ขั้นตอนกระบวนการ ผมกับบริษัทก็จะใช้สิทธิ์ตามกระบวนการยุติธรรมในการต่อสู้คดีในขั้นตอนต่อไป นั่นคือในชั้นอุทธรณ์นะครับ”
แต่สุดท้ายด้วยกระแสสังคมที่โหมกระหน่ำกดดันเข้ามาในทุกทิศทุกทาง ไม่ว่าจะเป็นการรณรงค์ให้เลิกดูรายการของนายสรยุทธและเลิกดูช่อง 3 ไล่เรื่อยไปจนถึงการกดดันให้ผู้ผลิตสินค้าและบริการถอนโฆษณา จึงทำให้นักเล่าข่าวพันล้านจะ “จำใจ” ประกาศขอยุติการทำหน้าที่ในวันที่ 3 มีนาคม 2559 เพราะเห็นได้ชัดว่าหากยังขืน “ด้านหน้า” อยู่ต่อไป ความพินาศฉิบหายจะมาเยือนองค์กรทั้งองค์กรมิใช่เฉพาะแค่ตัวนายสรยุทธแต่เพียงคนเดียว
รุมจวกต่อมจริยธรรม “ช่อง 3-สรยุทธ”
ก่อนหน้าที่นายสรยุทธจะยอมจำนนเพราะ “จำใจ” ท่าทีของช่อง 3 และนายสรยุทธ ถูกตั้งคำถามมากมายในฐานะนักสื่อสารมวลชนที่ควรเป็นแบบอย่างที่ดี
นักสื่อสารมวลชน อย่างเช่น “ธาม เชื้อสถาปนศิริ” ผู้จัดการฝ่ายวิจัย ประเมินผล และพัฒนา สถาบันวิชาการสื่อสาธารณะ ถึงกับบอกว่านี่มันตบหน้ากันชัดๆ
“นักเล่าข่าวคนดัง "ตบหน้า" ใครบ้าง ผมคิดว่าการที่คุณสรยุทธ ยังคงได้รับโอกาสมานั่งเล่าข่าวอ่านข่าวตามปกติเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนั้น เป็นการตบหน้าสังคมไทยแรงๆ อีกครั้งหนึ่ง มันเท่ากับเป็นการพิสูจน์ว่า จริยธรรมเป็นสิ่งที่ไม่มีความสำคัญอีกต่อไปในสังคมไทย กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีค่า ล่องลอยอยู่ในอากาศ และ ช่อง 3 ก็ลดระดับการเป็นองค์กรสื่อ ลงไปอยู่ในระดับเดียวกับนักเล่าข่าว คือ ขาดธรรมาภิบาลองค์กรอย่างรุนแรง พวกเขาดำเนินธุรกิจสื่อสารมวลชนได้อย่างไร? ทั้งๆ ที่จิตวิญญาณของวิชาชีพนี้ คือ จริยธรรมและความรับผิดรับชอบต่อสังคม เหตุการณ์นี้ เป็นการ “ตบหน้า” หลายๆ คนในสังคมไทย “เป็นการยืนยันว่าผลประโยชน์อยู่เหนือจริยธรรม” หน้าชากันไหมครับ คนไทยทั้งหลาย!”
กรณีคดีของ “กรรมโกงข่าว” ที่ถูกศาลอาญาตัดสินลงโทษหนักครั้งนี้ กระตุกต่อมจริยธรรมของสื่อเข้าเต็มเปา หนึ่งคือ “จริยธรรมในการทำธุรกิจ” ของผู้ที่เรียกตัวเองว่า “สื่อสารมวลชน” แน่นอน กรณีนี้นายสรยุทธ ในฐานะกรรมการผู้จัดการบริษัทไร่ส้ม จำกัด ไม่มีจริยธรรมในการทำธุรกิจ มีความผิดชัดเจนตามคำตัดสินของศาล ที่ว่า
“..... นายสรยุทธ จำเลยที่ 3 เป็นผู้มีอำนาจจัดการและเป็นพิธีกรจัดรายการมาโดยตลอด ดังนั้นจำเลยที่ 3 น่าจะทราบเนื้อหางานเป็นอย่างดี การใช้เงินแม้จะให้โดยเสน่หา แต่ไม่รายงานให้ทราบก็เป็นการสนับสนุน ในทางนำสืบศาลเห็นด้วยกับ ป.ป.ช.ว่าจำเลยจ่ายเช็คเพื่อจูงใจให้กระทำหรือไม่กระทำการใด ทำให้หน่วยงานของรัฐได้รับความเสียหาย การที่จำเลยที่ 2-4 นำเช็คไปมอบให้แก่จำเลยที่ 1 ถือเป็นการมิชอบด้วยกฎหมายเพราะการไม่รายงานโฆษณาเกินเวลาของจำเลยที่ 1 ทำให้จำเลยที่ 2 ได้รับประโยชน์ จึงเป็นความผิดฐานสนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1...”
สอง คือ “จริยธรรมของสื่อสารมวลชน” ซึ่งส่งผลกระทบไม่แต่เฉพาะนายสรยุทธ และช่อง 3 เท่านั้น แต่กระเทือนถึงความน่าเชื่อถือโดยรวมของวงการสื่อสารมวลชนที่ตกอยู่ในภาวะถูกสังคมตั้งคำถามถึงความรับผิดชอบและจริยธรรมในการปฏิบัติหน้าที่อย่างหนักหน่วงอยู่ในเวลานี้ด้วย ดังนั้น 2 องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทยและสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย จึงออกโรงออกแถลงการณ์ เรียกร้องให้ช่อง 3 ทบทวนการทำหน้าที่ของนายสรยุทธ เสียใหม่
“....ถึงแม้กรณีนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการอุทธรณ์ แต่คำพิพากษาของศาลชั้นต้นเป็นการพิสูจน์ในกระบวนการยุติธรรมว่ามีหลักฐานเพียงพอว่า นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นความผิดทั้งทางด้านอาญาและด้านจริยธรรม เพราะฉะนั้นสังคมจึงมีความคาดหวังว่า สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 จะแสดงความรับผิดชอบและเป็นตัวอย่างในการวางมาตรฐานจริยธรรมด้วยการให้ นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ยุติบทบาทหน้าจอ อย่างน้อยเป็นการชั่วคราวจนกว่าคดีจะสิ้นสุด
“สื่อมวลชนไทยได้ยึดมั่นในหลักการของการกำกับและดูแลกันเองเพื่อสร้างหลักประกันสำหรับเสรีภาพในการรายงานข้อมูลข่าวสารและแสดงความคิดเห็นมาตลอด แต่จุดยืนของสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ต่อกรณี นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ทำให้หลักการของการกำกับดูแลกันเองของสื่อถูกตั้งคำถามมากขึ้น และเป็นการเพิ่มน้ำหนักให้กับความพยายามของกลุ่มคนที่ต้องการให้มีกลไกที่มีอำนาจทางกฎหมายในการควบคุมและลงโทษสื่อที่ละเมิดจริยธรรมจึงขอเรียกร้องให้ผู้บริหารของ สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ทบทวนการทำหน้าที่ของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา เพื่อเป็นแบบอย่างในการสร้างบรรทัดฐานด้านจริยธรรมให้กับวงการสื่อมวลชนไทย”
งานนี้ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ก็ต้องขยับมีการประชุมเพื่อพิจารณาด้านกฎหมายและด้านจริยธรรมว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ โดยในวันที่ 7 มีนาคม 2559 ในช่วงบ่าย กสทช. จะเชิญผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ในฐานะผู้ถือใบอนุญาตเข้าร่วมประชุมหารือในแง่กฎหมาย และการกำกับดูแลผู้ผลิตรายการของสถานีให้เป็นไปตามจริยธรรมและความเหมาะสม ก่อนนำข้อสรุปเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) อีกครั้ง
การ “ตบหน้า” ท่านผู้ชมของกรรมโกงข่าวและช่อง 3 โดยไม่ยี่หระ ยังลอยหน้าออกอากาศเหมือนเดิม ทว่า ยิ่งเนิ่นนานวันกระแสต่อต้านยิ่งแรงขึ้นเรื่อยๆ และดูเหมือนจะลุกลามบานปลาย องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) ก็ออกแถลงการณ์ “ขอความร่วมมือในการรักษาบรรษัทภิบาลในกรณีสรยุทธ-ช่อง3 เพื่อยกมาตรฐานจริยธรรมสังคม”
แต่ที่ออกมาส่งเสียงอย่างดุดัน คือ นายประสาร มฤคพิทักษ์ อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และแกนนำกลุ่ม 40 ส.ว. ที่ชักทนไม่ไหว เห็นว่า นี่เป็นความอัปยศครั้งใหญ่ของธุรกิจสื่อยักษ์ใหญ่ของประเทศไทย ทีวีช่อง 3 กำลังท้าทายพลังจริยธรรมของคนไทย เท่ากับดูถูกผู้ดูทีวีทั้งหมดที่จะต้องอดทนให้สื่อมวลชนฉ้อฉลคนหนึ่งออกมาลอยหน้าลอยตาหยามหยันถึงทุกบ้านช่องเรือนชานอยู่ทุกวัน ทีวีช่อง 3 เห็นกำไรที่เป็นตัวเงินมีราคามากกว่าตราบาปที่จะติดตรึงองค์กรไปตราบนานเท่านาน
อดีต ส.ว.ประสาร เรียกร้องให้สังคมคว่ำบาตรช่อง 3 แสดงออกถึงพลังทางจริยธรรมร่วมกัน “ให้มันรู้ไปว่าทีวีช่อง 3 จะทนทานกับเสียงก่นด่า สาปแช่งของคนทั้งประเทศไปได้แค่ไหน”
ขณะเดียวกัน สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ก็ขยับระดมพลยื่นญัติตรวจสอบกรณีดังกล่าวในเรื่องจริยธรรมและจรรยาบรรณด้วยเช่นกัน เป็นการทดสอบการขับเคลื่อนปฏิรูปสื่อโดยไม่จำเป็นต้องรอให้มีกฎหมายออกมาก่อน และที่แน่ๆ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ โฆษก สปท. ยืนยันว่าจะไม่ขอรับเชิญไปออกรายการของนายสรยุทธ อย่างแน่นอนในทุกกรณี
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ยังไม่มีใครทำอะไรนายสรยุทธ และช่อง 3 ได้ เพราะต่อมจริยธรรมของทั้งคู่น่าจะอยู่ก้นเหว !!
ที่มา:manager
0 comments:
Post a Comment