Showing posts with label ข่าวไทย. Show all posts
Showing posts with label ข่าวไทย. Show all posts

Friday, December 22, 2017

หวานๆ หน่อย ชาคริต เกี่ยวก้อยพา แอน เที่ยวก่อนคลอด

By: news media On: 6:39 PM
  • Share The Gag
  • เป็น่วาที่คุณพ่อที่น่ารักจริงๆ สำหรับพระเอก "ชาคริต แย้มนาม" ที่ตอนนี้ภรรยาสาวสุดที่รัก "แอน ภัททิรา" อุ้มท้องลูกน้อยๆ ที่มีอายุครรภ์ 5 เดือนแล้ว ล่าสุด คุณพ่อชาคริตซึ่งต้องเดินทางไปทำงานที่เวียงจันทร์ สปป.ลาว ก็ยังไม่ลืมพาภรรยาไปเที่ยวพักผ่อนให้เต็มที่ก่อนจะคลอด


    งานนี้ ผู้จัดการส่วนตัวของหนุ่มชาคริตถึงกับขอแซวออกสื่อ โดยโพสต์ภาพลงอินสตาแกรม พร้อมข้อความระบุว่า "รูปคี่!!!เซอร์วิสFc นาจา วันนี้อยู่เวียงจันทน์นะฮะหัวหน้า ปล.มายะก๋านย่ะงานเจ้า ปล.2 หาอิป้าด้วยนะรูปคี่นะ"


    ที่มา: sanook

    เปิดใจ ‘พ่อหมอปอ’ หลัง ตร.จับกุมผู้ร่วมฆ่า ยัน ยังไม่ได้กำหนดวันเผาลูกสาว

    By: news media On: 6:36 PM
  • Share The Gag
  • พ่อหมอปอให้สัมภาษณ์ หลังจาก จนท.สามารถจับกุม น.ส.นฤมล กิ๊กของนายรณชัย เเละเเจ้งข้อหาร่วมกันฆ่าฯ พร้อมยืนยัน ไม่ได้กำหนดวันฌาปนกิจศพในวันที่ 24 ธ.ค. ตามที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้

    จากกรณีคนร้ายสวมหมวกไอ้โม่งไหมพรมอำพราง ใช้ปืนลูกซองสั้นบุกยิง นางสาวนนทิญา หรือ หมอปอ อายุ 25 ปี เจ้าพนักงานทันตกรรมสาธารณสุข รพ.สต.สลุย ว่าที่เจ้าสาว ตายภายคาห้องนอนชั้นสองบนบ้านพักข้าราชการ ในพื้นที่หมู่ที่ 5 ตำบลสองพี่น้อง อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร

    ต่อมาตำรวจจับกุมตัว นายรณชัย หรือ เก่ง พนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคหลังสวน ว่าที่เจ้าบ่าวที่กำลังจะแต่งงานกัน และรับสารภาพเป็นผู้ก่อเหตุยิงว่าที่เจ้าสาวของตนเองตายคาห้องพักดังกล่าว

    ต่อมาเมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 22 ธ.ค. 60  ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชุมพร พล.ต.ต.สนธิชัย อาวัฒนกุลเทพ ผบก.ภ.จ.ชุมพร พ.ต.อ.สำราญ มาเจริญ รอง ผบก.สอบสวน พ.ต.อ.เสริมศักดิ์ พ่วงเพชร ผกก.สส.ภ.จ.ชุมพร พ.ต.อ.พุฒิพงษ์ พานิชศิลป์ ผกก.สภ.สลุย พร้อมกำลังควบคุมตัว น.ส.นฤมล อายุ 23 ปี พนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคหลังสวน


    ผู้ต้องหาตามหมายจังศาลจังหวัดชุมพร ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดนเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน และร่วมกันมีอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พกพาไปในเมือง ในหมู่บ้านและทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันควร ตามที่ได้เป็นข่าวโด่งดังไปทั่วประเทศแล้วนั้น

    นายเชาว์ บิดาผู้เสียชีวิต เปิดเผยล่าสุดเมื่อเวลา 18.00 น.ของวันเดียวกันว่า รู้สึกสบายใจขึ้น ซึ่งผู้การฯ ตำรวจชุมพรได้เร่งรัดและติดตามคดีดังกล่าวได้รวดเร็ว หลักฐานต่างๆ ก็เจอทั้งหมด รวมถึงอาวุธปืนกระบอกที่ใช้สังหารลูกสาวตนก็พบแล้วเมื่อช่วงบ่ายวันนี้ ส่วนเรื่องที่ยังไม่สบายใจก็คือเรื่องเอกสารต่างๆ การเป็นหนี้กู้ยืม ใครเป็นคนกู้เงิน แต่ปัจจุบันยังไม่เห็นเอกสาร แต่ช่วงนี้ยังไม่มีเวลารื้อค้น

    โดยตนขอยืนยันว่ายังไม่มีกำหนดวันฌาปนกิจศพบุตรสาว เพราะต้องรอปรึกษากับญาติที่อยู่ชุมพร และที่กำลังเดินทางมาจากต่างจังหวัดก่อน ถึงจะกำหนดวันที่แน่นอนได้

    บิดาหมอปอยังเปิดเผยอีกว่า ตามที่มีกระแสข่าวว่าหมอปอเคยบริจาคร่างกายเมื่อเสียชีวิตให้กับโรงพยาบาลแห่งหนึ่งนั้น เรื่องนี้เมื่อ 3 ปี ที่แล้ว ลูกสาวเคยมาขอคำปรึกษาเหมือนกัน แต่แค่ขอคำปรึกษา ซึ่งตนก็บอกไปว่าพ่อไม่ยอม หลังจากนั้นก็ไม่เคยคุยกันเรื่องนี้อีกเลย


    ที่มา:  sanook

    ธ.กรุงเทพสำรอง60,000ล.รับปีใหม่ 'สาขาไมโคร'ไม่หยุดกว่า300แห่ง

    By: news media On: 6:25 PM
  • Share The Gag
  • ธนาคารกรุงเทพ จัดสรรเงินสดสำรองไว้ให้บริการแก่ลูกค้าในช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่กว่า 60,000 ล้านบาท ผ่านตู้เอทีเอ็มที่รองรับการให้บริการเกือบ 10,000 จุดทั่วประเทศ ย้ำสาขา  ไมโครในห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศกว่า 300 แห่ง เปิดให้บริการปกติไม่มีวันหยุด โดยกำหนดแผนดูแลการเติมเงินสดเป็นพิเศษในจุดท่องเที่ยวหลัก

    รายงานข่าวจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่ ระหว่างวันเสาร์ที่ 30 ธันวาคม 2560 – วันอังคารที่ 2 มกราคม 2561 นั้น ทางธนาคารได้ดำเนินการสำรองเงินสดไว้ให้บริการแก่ลูกค้าเพิ่มเติมจากภาวะปกติโดยรวมทั้งสิ้นประมาณ 60,000 ล้านบาท ผ่านช่องทางบริการเอทีเอ็มที่มีเกือบ 10,000 จุดทั่วประเทศ ควบคู่ไปกับบริการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ของธนาคารที่พร้อมอำนวยความสะดวกและให้สามารถทำรายการธุรกรรมต่างๆ ได้อย่างต่อเนื่อง เช่น บริการบัวหลวงโฟน โทร.1333 บริการบัวหลวง ไอแบงก์กิ้ง และบริการบัวหลวง เอ็มแบงก์กิ้ง รวมถึงบริการรับชำระสินค้าและบริการผ่านระบบคิวอาร์โค้ด (QR Code ) เป็นต้น

    ทั้งนี้ ลูกค้ายังสามารถใช้บริการทางการเงินของธนาคารกรุงเทพผ่านสาขาไมโคร ที่เปิดให้บริการภายในห้างสรรพสินค้าและจุดชุมชนกว่า 300 แห่งทั่วประเทศ ได้ตามปกติในช่วงดังกล่าว โดยสาขาธนาคารทั่วประเทศจะเปิดทำการปกติตั้งแต่วันพุธที่ 3 มกราคม 2561 เป็นต้นไป

    นอกจากนี้ ธนาคารยังได้เตรียมความพร้อมสำหรับดำเนินการดูแลและเพิ่มความถี่ในการจัดเตรียมเงินสดในตู้เอทีเอ็มที่ตั้งอยู่ในจุดท่องเที่ยวทั่วประเทศเป็นกรณีพิเศษ เพราะฉะนั้นลูกค้าของธนาคารจึงมั่นใจได้ว่าจะสามารถเบิกถอนเงินสดสำหรับใช้จ่ายในช่วงเทศกาลดังกล่าวได้อย่างสบายใจ

    สำหรับลูกค้าที่ต้องการตรวจสอบรายชื่อสาขาไมโครที่เปิดให้บริการ สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ เว็บไซต์ www.bangkokbank.com หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อศูนย์บริการธนาคารทางโทรศัพท์ โทร.1333


    ที่มา: naewna

    หนุ่มดวงถึงฆาตขับกระบะตกไหล่ทาง ถอยรถขึ้นกลับถูกต้นไม้หนีบคอดับ

    By: news media On: 6:22 PM
  • Share The Gag

  • 23 ธ.ค.60 เมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 22 ธ.ค.60 ร.ต.อ.คมวงกต แสงปัก ร้อยเวรสอบสวน สภ.บางละมุง ได้รับแจ้งอุบัติเหตุรถกระบะเสียอัดต้นไม้มีผู้เสียชีวิต เหตุเกิดซอยข้าง บริษัทแคราย ม.2 ต.ตะเคียนเตี้ย อ.บางละมุง จ.ชลบุรี หลังรับแจ้งพร้อมกำลังเจ้าหน้าที่สว่างบริบูรณ์เมืองพัทยารุดไปตรวจสอบ

    ที่เกิดเหตุ เป็นถนนลูกรังพบรถยนต์กระบะยี่ห้อ Isuzu Dragon สีแดงเลือดหมู หมายเลขทะเบียน บม 3695 บุรีรัมย์ ไฟท้ายค้างอยู่ที่สัญญาณเกียร์ถอยหลัง ตรวจสอบพบร่างผู้เสียชีวิตเป็นชายไทย สภาพศพอยู่ที่เบาะคนขับ ตัวรถกระบะถูกต้นไม้หนีบเข้าที่ลำคอเสียชีวิตคาที่ จากการตรวจสอบ ไม่พบเอกสารแสดงตัวบุคคล พบเพียงเอกสารที่เก็บไว้ในซองเก็บของข้างคนขับชื่อ นายมงคล แช่กัง อยู่บ้านเลขที่ 18/176 ม.5ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี
    ตรวจสอบโดยรอบไม่พบผู้เห็นเหตุการณ์ อีกทั้งเส้นทางดังกล่าวไม่ค่อยมีแสงไฟส่องสว่าง คาดว่าผู้ตายอาจจะไม่ชำนานเส้นทางจึงทำให้รถเสียหลักตกไหลถนน จังหวะที่กำลังจะถอยรถขึ้นเกิดพลาดแล้วไหล ลงไปเบียดกับต้นไม้แล้วหนีบบริเวณลำคอ จนเสียชีวิตดังกล่าว

    เบื้องต้น เจ้าหน้าตำรวจได้บันทึกภาพไว้เป็นหลักฐาน เจ้าหน้าที่กู้ภัยฯ จึงตัดกิ่งต้นไม้ออกเพื่อนำร่างผู้เสียชีวิตออกจากซากรถ ก่อนจะเคลื่อนย้ายเก็บรักษาที่ รพ.บางละมุง เพื่อรอญาติมาขอติดต่อรับศพไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณีทางศาสนาต่อไป


    ที่มา: naewna

    หึงแฟนสาวไปงานเลี้ยง! “ส.ต.ต.”คว้า .38 จ่อขมับลั่นไกฆ่าตัวตายดับสยองคาห้อง

    By: news media On: 6:17 PM
  • Share The Gag
  • เมื่อเวลา 05.30 น. วันที่ 23 ธ.ค. ร.ต.อ.สุทธินัย อถมพรหมราช รอง สว.(สอบสวน)สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งเหตุมีผู้ใช้อาวุธปืนยิงตัวเองเสียชีวิต ภายในอพาร์ทเมนท์แห่งหนึ่ง ซ.วิภาวดี 64 ซอย 4 แขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ กทม. จึงรุดตรวจสอบพร้อมด้วยพ.ต.อ.ยรรยง สันติปรีชาวัฒน์ ผกก.สน.พหลโยธิน พ.ต.ท.ศักดิ์ทวี ศรีบรรเทา รอง ผกก.จร. สน.พหลโยธิน เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน แพทย์นิติเวชโรงพยาบาลภูมิพล โรงพยาบาลตำรวจ และอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง

    ที่เกิดเหตุเป็นหอพักสูง 5 ชั้น ภายในห้อง 306 ชั้น 3 พบศพส.ต.ต.พงษ์นรินทร์ จาจี อายุ 23 ปี ผบ.หมู่ ป. ช่วยงานจราจร สน.พหลโยธิน สภาพสวมเสื้อยืดคอกลม สีดำ กางเกงขาสั้น สีน้ำตาล นอนหงายจมกองเลือดอยู่ที่พื้นข้างเตียงนอน ตรวจพบมีบาดแผลถูกยิงเข้าขมับขวาทะลุกะโหลกศีรษะ ใกล้กันพบปืนลูกโม่ .38 ตกอยู่ และเพดานกลางห้องมีรอยกระสุนปืน 1 นัด เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน ก่อนนำศพส่งสถาบันนิติเวชดำเนินการต่อไป
    โดยภายในห้องที่เกิดเหตุพบน.ส.รินนา ถาวร อายุ 25 ปี แฟนสาวนั่งร้องไห้ด้วยความเสียใจ ให้การว่า ก่อนเกิดเหตุพักอยู่ในห้องกับแฟนหนุ่ม และเกิดมีปากเสียงทะเลาะกัน เนื่องจากเมื่อช่วงหัวค่ำตนไปงานเลี้ยงที่ทำงาน ทำให้แฟนหนุ่มเกิดความหึงหวงมีปากเสียงทะเลาะกัน สาเหตุเพราะอดีตแฟนเก่าตนที่ทำงานเดียวกันและมาร่วมงานเลี้ยงด้วย กระทั่งแฟนหนุ่มพยายามใช้ปืนยิงตนเอง แต่ตนก็แย่งปืนมาเก็บไว้และเอากระสุนออก จากนั้น ตนจึงปิดไฟนอนหลับ จนกระทั่งได้ยินเสียงปืนดังขึ้น และเห็นแฟนหนุ่มตนล้มนอนจมกองเลือดเสียชีวิต

    ด้าน นายสุพัฒน์ เดินศิลป์ อายุ 50 ปี เพื่อนบ้าน ให้การว่า ก่อนเกิดเหตุได้ยินเสียงคล้ายปืน 1 ครั้ง จากนั้นแฟนสาวผู้เสียชีวิตเปิดประตูห้องร้องขอความช่วยเหลือ ตนจึงวิ่งไปดูเห็นฝ่ายชายนอนหายใจรวยรินจมกองเลือดที่พื้นห้อง ปกติเคยคุยกับฝ่ายชาย เป็นคนนิสัยดี มีมารยาท เพิ่งมาเช่าอยู่ 4-5 เดือน

    พ.ต.ท.ศักดิ์ทวี เปิดเผยว่า ส.ต.ต.พงษ์นรินทร์ เป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ภายหลังสอบเป็นตำรวจก็มารับตำแหน่งครั้งแรก ฝ่ายปราบปราม สน.พหลโยธิน แต่มาช่วยงานจราจร สน.พหลโยธิน ประมาณปีกว่า ปกติส.ต.ต.พงษ์นรินทร์ เป็นตำรวจหนุ่มไฟแรง มีความรับผิดชอบหน้าที่สูง อัธยาศัยดี ไม่เคยพูดหรือเล่าปัญหาส่วนตัว

    ทั้งนี้ เบื้องต้นจากการสอบปากคำแฟนสาวของผู้เสียชีวิต ให้การว่า ผู้เสียชีวิตเกิดอาการหึงหวง ก่อนใช้ปืนยิงตัวเองเสียชีวิต หลังจากนี้จะทำการสอบปากคำแฟนสาวผู้เสียชีวิตอีกครั้งและพยานในที่เกิดเหตุ เพื่อสรุปสาเหตุต่อไป



    ที่มา:  khaosod

    “ตูน บอดี้สแลม” Person of the Year

    By: news media On: 6:12 PM
  • Share The Gag
  • ผู่จัดการสุดสัปดาห์ - ถ้าจะยกย่องใครสักคนหนึ่งขึ้นเป็น “บุคคลแห่งปี 2560” หรือ “Person of the Year 2017” และไม่ใครปฏิเสธได้ คงหนีไม่พ้นผู้ชายธรรมดาๆ ผู้สร้างปรากฏการณ์ “ก้าว” ขึ้นในประเทศไทย นั่นก็คือ “อาทิวราห์ คงมาลัย” หรือ “ตูน บอดี้สแลม”

    “ตูน” คือผู้นำความสุขให้แก่คนไทยอย่างแท้จริงกับก้าวที่มี “หัวใจ” และ “ร่างกาย” เป็นเดิมพันในโครงการ “ก้าวคนละก้าว” โครงการวิ่งระดมทุน 700 ล้านบาท เพื่อซื้ออุปกรณ์การแพทย์แก่ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ ออกสตาร์ทตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. ที่ผ่านมา จากสุดเขตแดนใต้ อ.เบตง จ.ยะลา มุ่งหน้าปลายทางเหนือสุดแดนสยาม อ.แม่สาย จ.เชียงราย ในวันที่ 25 ธ.ค. นี้ รวมระยะทาง 2,191 ก.ม.




    สองเท้าของ “ตูน” บวกกับ “หัวใจ” ที่มุ่งมั่นได้ก่อให้เกิด “พลังแห่งความศรัทธา” อย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้ในผืนแผ่นดินแห่งนี้ ทุกจังหวัดที่ “ตูน” วิ่งผ่าน ประชาชนพากันออกมาต้อนรับ ให้กำลังใจ และร่วมกันบริจาคเงินเพื่อสมทบทุนโครงการ

    เสียง “พี่ตูนสู้ๆ” ดังกระหึ่มไปทั่วทั้งผืนแผ่นดินไทย

    และแน่นอน “ตูน” กลายเป็น “ฮีโร่ในหัวใจคนไทย” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    นับจาก “ก้าวแรก” ที่เริ่มต้นขึ้นใน “พื้นที่สีแดง” ใน3 จังหวัด “จ.ปัตตานี จ.ยะลา และ จ.นราธิวาส” กับ 4 อำเภอของ “จ.สงขลา” คือ อ.จะนะ อ.เทพา อ.นาทวี และ อ.สะบ้าย้อย พื้นที่ความขัดแย้งมาตลอดระยะเวลา 13 ปี เกิดความรุนแรงขึ้นหลายระลอก มีผู้คนล้มตายบาดเจ็บและพิการหลายพันหลายหมื่นคน “ตูน” สร้างปรากฎการณ์สะเทือนไปทุกหย่อมหญ้า ก้าวแต่ละก้าวถักทอความสามัคคีของคนไทยให้เป็นหนึ่งเดียวกัน

    พื้นที่ที่คนภายนอกไม่ย่างกายเข้าไป แต่เขากลับเลือกพื้นที่ชายแดนใต้แห่งนี้เป็น “จุดสตาร์ท” เข้ามาสมานแผลฉกรรจ์ สร้างปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นั่นคือ “รอยยิ้ม” และ “ความสุข” ผู้คนในพื้นที่ปลายด้ามขวานต่างพากันออกมาต้อนรับอย่างอบอุ่น ร่วมบริจาคเงิน ร่วมขบวนวิ่ง และขอถ่ายภาพเซลฟี่กับตูน

    ยิ่งบวกกับกิริยามารยาทอ่อนน้อมไม่ถือตัวที่นักร้องหนุ่ม ปฏิบัติต่อทุกคนยิ่งส่งผลให้ “ตูน บอดี้สแลม” เป็นที่รัก สั่นสะเทือนกลุ่มสุดโต่งในพื้นที่ชายแดนใต้เป็นอย่างมาก



    เขาผู้นี้ นำความสุขที่ห่างหายจากชายแดนใต้ให้กลับคืนมาอีกครั้ง นำมาซึ่งภาพสุดประทับใจ เจ้าหน้าที่ผู้ปฎิบัติงานในพื้นที่ชายแดนใต้เรียงแถว ให้กำลังใจส่งท้ายภารกิจดูแล “ตูน บอดี้สแลม” บริเวณรอยต่อเขตพื้นที่ จ.ปัตตานี เข้าสู่พื้นที่ จ.สงขลา

    แม้การวิ่งระดมทุนของในครั้งนี้มิอาจดับไฟใต้ แต่ได้ปลูก “เมล็ดพันธุ์อันดีงาม” ในหัวใจของคนส่วนหนึ่งในพื้นที่ปลายด้ามขวาน สร้าง “สันติสุข” ให้กลับมางอกงามลดความขัดแย้งในพื้นที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ต้องสานต่อนำความสุขกลับคืนสู่ปลายด้ามขวานให้จงได้

    และระหว่างทาง ตูน ได้มอบทุนส่วนตัวเป็นทุนการศึกษา “พี่ตูนช่วยน้องก้าว” แก่เด็กนักเรียนในภาคใต้อีกด้วย

    ตูนสร้างปรากฎการณ์ในทุกพื้นที่ที่ขบวนวิ่งผ่าน ตั้งแต่ชายแดนใต้จรดเหนือสุดแดนสยาม เต็มไปด้วยผู้คนต่างเพศต่างวัยเข้าแถวเรียงรายริมถนน รอต้อนรับเป็นกำลังใจและบริจาคเงินสมทบทุนอย่างชื่นมื่น

    “ตูน” ทำให้ผู้คนในบ้านนี้เมืองนี้ตระหนักถึงความสำคัญของ “การออกกำลังกาย” ขณะเดียวกันก็ทำให้เห็นถึงปัญหาของระบบสาธารณสุขไทยที่จำเป็นต้องมีการดูแลและแก้ไข โดยเฉพาะเรื่องงบประมาณที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ และทุกครั้งที่มีโอกาสเขาก็จะเชิญชวนให้ทุกคนให้กำลังใจบุคลากรในแวดวงสาธารณสุขเสมอๆ ว่า “คุณหมอสู้ๆ พยาบาลสู้ๆ”





    ยิ่งไปกว่านั้น ก้าวของตูนยังป็นแรงบันดาลใจให้ “ผู้ป่วยโรคซึมเศร้า” ซึ่งได้เขียนจดหมายเปิดผนึกถึง ตูน ความว่า ...ตนเองป่วยเป็นโรคซึมเศร้า คิดว่าตัวเองไม่มีค่า จนได้เห็นสิ่งที่ตูนทำ...

    และด้วยความที่ “ตูน บอดี้สแลม” เป็นบุคคลซึ่งทรงอิทธิพลคนหนึ่งในวงการเพลง ทำให้มีเพื่อนพ้องน้องพี่ในวงการบันเทิงจำนวนมาก เข้าร่วมขบวนวิ่งระดมทุน “ก้าวคนละก้าว” สร้างสีสันตามจุดต่างๆ ตลอดระยะทางกว่า 2,191 ก.ม.

    มีศิลปินร่วมแต่งเพลงให้ “ตูน บอดี้สแลม” อาทิ เพลงแด่เธอ แต่งโดย บอย โกสิยพงษ์, เพลงเดิมพัน 2,000 กิโล เพลงคงมาลัย แต่งโดย แอ๊ด คาราบาว, เพลงตูนบอดี้สแลม แต่งโดย เล็ก คาราบาว, เพลงก้าวคนละก้าว แต่งโดย ออดี้, เพลงเสียงเพลงจากใจ แต่งโดย ดาว ขำมิน ฯลฯ

    โดยมีหวานใจ “ก้อย - รัชวิน วงศ์วิริยะ” เป็นหนึ่งพลังใจคอยวิ่งเคียงข้าง รวมทั้ง "ทีมงานก้าวคนละก้าว" ผู้อยู่เบื้องหลังก้าวที่ท้าท้ายที่สุดในชีวิตของเขาคนนี้ ซึ่งคอยดูแล “เซฟร่างกายตูน” เพราะหนทางนั้นยาวไกล เพื่อเอาชนะขีดจำกัดทางกายด้วยหัวใจที่แข็งแกร่ง





    เช่นเดียวกัน ในโลกออนไลน์กระแสตูนฟีเวอร์ฮอตไม่แพ้กัน โลกออนไลน์ ตั้งแต่แคมเปญ “เซฟพี่ตูน” รวมกันรณรงค์เรื่องถ่ายเซลฟี่ซึ่งทำให้ตูนต้องหยุดวิ่งกระทันหันเป็นเหตุบาดเจ็บ จึงมีคนทำโปรแกรมกรอบรูปเซลฟี่พี่ตูนขึ้นมา ซึ่งชาวโซเชียลฯ ให้การตอบรับเป็นอย่างดี หรืออย่าง เฟซบุ๊คแฟนเพจ “วันนี้พี่ตูนได้อะไร” สร้างสีสันเรียกรอยยิ้มคอยอัพเดตว่าในแต่ละวันมีใครเอาอะไรแปลกๆ มาให้พี่ตูนบ้าง กล้วยหอมเครือใหญ่ ลำไยพวงโต ทุเรียนลูกเบ้อเริ่ม ฯลฯ

    “ก้าวคนละก้าว” ได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชนและภาครัฐเป็นอย่างดี อาทิ “จิมมี่ ชวาลา” หรือที่รู้จักกันในฐานะ “เศรษฐีใจบุญเมืองนคร” นักธุรกิจห้างผ้ารายใหญ่ของ จ.นครศรีธรรมราช เป็นการกุศลในนามชาวนครศรีธรรมราช 1.6 ล้านคน หรือคนละ 10 บาท เป็นเงินทั้งสิ้น 16 ล้านบาท หรืออย่างกลุ่มทุนใหญ่ “คิง เพาเวอร์” เปิดบ้านต้อนรับคณะวิ่งสู่กรุงเทพฯ สบทบทุนกว่า 100 ล้านบาท ฯลฯ

    สำหรับเส้นทางที่ขบวนวิ่งก้าวคนก้าวไม่ผ่านนั้น มีการจัดกิจกรรมเฉพาะกิจ “วิ่งคู่ขนาน” วิ่งเก็บตกในหลายพื้นที่ “จาตุรงค์ มกจ๊ก” ตลกชื่อดัง วิ่งระดมเงินช่วยเหลือจาก จ.ราชบุรี ถึง สะพานข้ามแม่น้ำแคว จ.กาญจนบุรี ร่วมบริจาคสมทบทุน 4 ล้าน “เชษฐ์ สไมล์บัฟฟาโล” วิ่งคู่ขนานในภาคตะวันออก ร่วมบริจาคสมทบทุนกว่า 10 ล้านบาท



    เช่นเดียวกับ ชาวอุทัยธานี ร่วมใจวิ่งคู่ขนานรวบรวมเงินบริจาคสมทบ “ก้าวคนละก้าว” เช่นเดียวกับ ชาวเชียงใหม่ ร่วมวิ่งด้วยใจ “ก้าวคนละก้าว” จัดกิจกรรมวิ่งคู่ขนานร่วมเงินบริจาคในโครงการ ฯลฯ แม้กระทั่งในต่างประเทศ คนไทยในสหรัฐฯ จัดกิจกรรม "ช่วยกันก้าวคนละก้าว" วิ่งการกุศลสมทบทุนโครงการฯ รวมทั้งอีกหลายจังหวัด

    วีกรรมของ “ตูน บอดี้สแลม” สะเทือนสู่สายตาชาวโลก เมื่อ “เอเลียด คิปโชเก” นักวิ่งมาราธอนชาวเคนย่า เจ้าของเหรียญทองโอลิมปิก 2016 ซึ่งนักวิ่งขวัญใจของตูน โพสต์ภาพพร้อมข้อความให้กำลังใจนักร้องดังลงในอินสตาแกรมส่วนตัว @kipchogeeliud แปลความว่า

    “สู้ต่อไปตูน คุณได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับพวกเราด้วยการวิ่งที่ยิ่งใหญ่ เราเชื่อว่าคุณจะวิ่งได้ 2,191 กิโลเมตร พวกเราพร้อมสนับสนุนคุณ”



    เวลาต่อมา ตูน ได้โพสต์ข้อความในอินสตาแกรม @artiwaraตอบนักวิ่งขวัญใจของตน ความว่า

    “เป็นเกียรติอย่างยิ่งในชีวิต...ขอบคุณ kipchogeeliud สำหรับแรงบันดาลใจและข้อความที่มีความหมายมากๆ สำหรับผม...ในวันนี้ครับ”

    สำหรับการระดมทุนเพื่อ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศในโครงการ “ก้าวคนละก้าว” ยังมีการจัดกิจกรรมประมูลของใช้ส่วนตัวของตูน เช่น รองเท้าวิ่ง, กางเกงยีนส์, ภาพวัยเด็ก ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่ได้รับความสนใจจากผู้มีจิตศรัทธาร่วมประมูลเพื่อสบทบทุนในโครงการครั้งนี้อีกด้วย

    และถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้ “ในหลวง ร.๑๐” โปรดเกล้าฯ สิ่งของพระราชทานให้ “ตูน บอดี้สแลม” และคณะฯ” ซึ่งนับเป็นขวัญและกำลังใจอันยิ่งใหญ่ ให้คณะก้าวข้ามอุปสรรคสู่จุดหมายอย่างดังที่มุ่งหวัง

    ทั้งนี้ ตลอดเส้นทาง “ก้าวคนก้าว” เผชิญมาแล้วทุกสภาพอากาศ ฝ่าแดด ฝ่าฝน ฝ่าลมหนาว ได้เห็นน้ำใจไมตรีกลมเกลียวเป็นหนึ่งเดียวกันของพี่น้องชาวไทย ที่ไม่เพียงหยิบยื่นเงินบริจาคแต่ยังมอบสิ่งของเป็นกำลังใจ ปฏิกิริยาผู้คนที่มาเฝ้ารอระหว่างทางเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความปีติยินดี ซึ่งแม้ “ตูนได้รับคำยกย่องสรรเสริญมากมาย แต่ชายผู้นี้ก็ไม่ได้รับไว้เพียงผู้เดียว โดยตูนมักยกคุณงามความดีทั้งหมดแก่คณะทำงานผู้ปิดทองหลังพระอยู่เสมอ

    “ตูน” ใช้หัวใจอันบริสุทธิ์สร้างพลังแห่งศรัทธา หลอหลอมดวงใจนับล้านดวงให้กล้าที่จะออกมาก้าวไปพร้อมๆ กัน ในโครงการวิ่งระดมทุน “ก้าวคนละก้าว” ซึ่งจากเดิมตั้งเป้ายอดเงินบริจาค 700 ล้าน ด้วยความร่วมแรงร่วมใจส่งผลให้ยอดเงินบริจาคทะลุเป้าทะยานสู่ 1,000 ล้านบาท

    ผลลัพธ์ทางด้านเม็ดเงินอาจจะมองดูว่า ประสบความสำเร็จทะลุเป้าหมายที่กำหนดเอาไว้ แต่ผลลัพธ์ที่สำคัญกว่านั้นคือ ผลทางด้าน “จิตใจ” ที่ชายผู้นี้สามารถปลุกพลังแห่งความดีงามอันเป็นพลังเชิงบวกให้ครอบคลุมไปทั่วทุกอณูของผืนแผ่นดินไทย และถ้าจะใช้คำว่า น่า “อัศจรรย์” ก็คงไม่เกินเลยไปจากข้อเท็จจริงเท่าใดนัก



    ในบทบาทนักร้อง “ตูน บอดี้สแลม” เป็น “ร็อกสตาร์แถวหน้าของเมืองไทย” มีอิทธิพลสูงมากในกลุ่มวัยรุ่น สร้างแรงบันดาลใจผ่านบทเพลงมากมาย แต่วันนี้เขาก้าวออกไปไกลกว่าเดิมและสร้างแรงบันดาลให้คนจำนวนมาก กลายมาเป็น “ฮีโร่ของคนไทย” กลายมาเป็น “พี่ตูน” ของคนทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะก้าวไปยังแห่งหนตำบลใดก็มักได้ยินเสียงเชียร์ “พี่ตูน สู้ๆ”

    “ก้าว ของ ตูน” เป็นก้าวที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนจำนวนมาก เป็นก้าวที่กลายเป็น “วาระแห่งชาติ” ด้วยปณิธานตั้งมั่นทำเรื่องดีๆ เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม และคงไม่เป็นการกล่าวเกินความจริงนัก หากจะบอกว่า “ตูน บอดี้สแลม” คือ “บุคคลต้นแบบ” และคืนความสุขส่งท้ายปีแก่คนทั้งประเทศอย่างแท้จริง
    อย่างไรก็ดี การวิ่งระดมเงินบริจาคเพื่อซื้ออุปกรณ์การแพทย์ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ แม้จะมีพวก “มือไม่พาย แต่เอาเท้าราน้ำ” วิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แต่อย่างน้อยเขาผู้นี้ก็กล้าที่จะออกมาทำความดีเพื่อส่วนร่วม ซึ่ง “ตูน” เคยเปิดใจว่ามีความกังวลไม่น้อย โดยสิ่งที่กลัวที่สุดคือ “การถูกปรามาสว่าทำความดีเอาหน้า” ทั้งๆ ที่ความตั้งใจจริงของเขานอกจากการระดมเงินบริจาคช่วยโรงพยาบาลแล้ว ยังอยากให้คนไทยหันมาออกกำลังกายดูแลรักษาสุขภาพมากขึ้น
    หัวใจของ “ตูน บอดี้สแลม” นั้นน่ายกย่องโดยเจตนาอันบริสุทธิ์ จนอดนำไปเปรียบกับ “นักการเมือง” ค่อนประเทศที่ชอบ “สร้างภาพ” ทำดีเอาหน้าทำแต่เรื่องไม่เข้าท่าให้ชาวบ้านชาวช่องเขาสาปส่งไม่ได้

    วันนี้ ก้าวที่ยิ่งใหญ่ของ “ตูน บอดี้สแลม” นับเป็น “ก้าวแห่งความสุขต้อนรับศักราชใหม่” สร้าง “รอยยิ้ม” และ “เสียงหัวเราะ” ให้คนไทยทั้งประเทศ





    ที่มา:  manager

    Thursday, December 21, 2017

    ยิงหัวฆ่าตัวคาบ้านหรู! เศรษฐีหุ้นเครียดธุรกิจเจ๊ง-ครอบครัวพัง เขียนจม.ลาคว้าปืนจ่อขมับ

    By: news media On: 6:32 PM
  • Share The Gag
  • เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. ร.ต.อ.ไกรสร อินปิ่น รอง สว.(สอบสวน) สน.วังทองหลาง รับแจ้งเหตุพบศพชายถูกยิงเสียชีวิตภายในบ้านเลขที่ 20 ซอยลาดพร้าว 90 แขวงพลับพลา เขตวังทองหลาง กทม. จึงประสานแพทย์นิติเวช ร.พ.ตำรวจ ตำรวจศูนย์พิสูจน์หลักฐาน แล้วรุดไปตรวจสอบพร้อม พ.ต.ท.นเรนทร์ เครื่องสนุก รอง ผกก.สส. พ.ต.ท.เชาวฤทธิ์ เงินฉลาด รอง ผกก.(สอบสวน) พ.ต.ท.เดชาวัสส์ ขันกสิกรรม สวป. ตำรวจฝ่ายสืบสวน และหน่วยกู้ภัยมูลนิธิร่วมกตัญญู
    ที่เกิดเหตุเป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น เนื้อที่ประมาณ 150 ตารางวา บริเวณห้องอาหารชั้น 1 พบศพนายสุภร เทพตระการพร อายุ 62 ปี สภาพนอนคว่ำหน้าจมกองเลือดทับอาวุธปืนขนาด.380 เอซีพี อยู่ใต้โต๊ะอาหาร มีบาดแผลกระสุนปืนยิงเข้าขมับซ้ายทะลุขวา 1 นัด บนพื้นมีปลอกกระสุนปืนตกอยู่ 1 ปลอก และจดหมายเขียนสั่งลาตัดพ้อเรื่องปัญหาครอบครัวและปัญหาทางด้านการเงิน เจ้าหน้าที่จึงเก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน

    สอบสวนเพื่อนบ้าน ให้การว่า ปกติผู้เสียชีวิตเป็นคนอัธยาศัยดีไม่เคยมีปัญหากับเพื่อนบ้าน และเป็นคนมีฐานะโดยหารายได้จากการเล่นหุ้น ก่อนหน้านี้ผู้ตายพักอาศัยอยู่กับภรรยา และลูกอีก 3 คน แต่เมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว ผู้ตายนำเงินไปลงทุนเปิดร้านอาหารหลายล้านบาท แต่เกิดภาวะขาดทุนทำให้เกิดปัญหาภายในครอบครัวถึงขั้นหย่าร้างกับภรรยา

    เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า ผู้ตายอาจเกิดความเครียดเรื่องปัญหาส่วนตัวจึงตัดสินใจใช้อาวุธปืนยิงตัวตาย ซึ่งจะได้นำศพส่งชันสูตรก่อนสอบสวนหาเหตุที่แท้จริงต่อไป

    ที่มา:  khaosod

    สะพัด! ออกหมายจับ‘กิ๊ก’ไอ้เก่ง ร่วมฆ่าหมอปอ

    By: news media On: 6:07 PM
  • Share The Gag
  • สะพัด! ตำรวจออกหมายจับ “กิ๊กสาว” ไอ้เก่ง ฐานร่วมฆ่า “หมอปอ” จ่อแถลงรายละเอียดวันนี้

    ความคืบหน้าคดีสะเทือนขวัญฆ่าโหด “หมอปอ” น.ส.นนทิญา ครัวจัตุรัส อายุ 25 ปี เจ้าพนักงานทันตสาธารณสุข โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล(รพ.สต.) สลุย จ.ชุมพร ซึ่งมือปืนไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น “ไอ้เก่ง” หรือนายรณชัย ปานชาติ อายุ 26 ปี เจ้าหน้าที่การไฟฟ้าอำเภอหลังสวน ว่าที่เจ้าบ่าว ที่กำลังจะแต่งงานกับ “หมอปอ” ในอีก 5 วัน ซึ่งรับสารภาพอ้างว่าที่ลงมือ เพราะไม่อยากแต่งงาน เนื่องจากมี “กิ๊กสาว” คนใหม่ ซึ่งตำรวจกันตัวไว้เป็นพยานนั้น
    ล่าสุด มีรายงานว่าช่วงเช้าวันนี้(22 ธ.ค.60) พนันกงานสอบสวน สภ.สลุย ได้ออกหมายจับ “กิ๊กสาว” รายนี้แล้ว ในข้อหาร่วมกันฆ่า โดยอาจจะมีการแถลงอย่างละเอียดในเวลาประมาณ 09.00 น.

    ก่อนหน้านี้ แหล่งข่าวจากชุดสืบสวน เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบที่มาของอาวุธปืนลูกซองสั้น ที่นายรณชัยใช้ก่อเหตุนั้น พบว่า เป็นปืนเถื่อน ซื้อมาจากแก๊งผลิตปืนเขตรอยต่อ อ.หลังสวน กับ อ.ละแม จ.ชุมพร โดยชุดสืบสวนอยู่ระหว่างตรวจสอบข้อมูลที่ชัดเจนอีกครั้ง หลังจากพบว่าผู้ที่จัดหาปืนกระบอกดังกล่าวให้ อาจจะเป็น “กิ๊กสาว” ของนายรณชัย เนื่องจากข้อมูพบว่ากิ๊กสาวคนนี้ มีภูมิลำเนาอยู่แถวในพื้นที่ที่ผลิตปืนเถื่อน และจัดหาอาวุธปืนมาให้นายรณชัยได้เกือบร่วมเดือน ก่อนจะใช้เป็นอาวุธก่อเหตุฆ่า “หมอปอ” ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน หากพบว่ากิ๊กสาวรายนี้มีส่วนเกี่ยวข้องจริง ก็จะดำเนินคดีด้วย หลังจากที่ในขณะนี้ยังกันตัวไว้เป็นพยานเท่านั้น

    ด้าน พ.ต.อ.สำราญ มากเจริญ รองผู้บังคับการภูธรจังหวัด(รองผบก.ภ.จว.) ชุมพร กล่าวภายหลังตรวจสำนวนคดีดังกล่าว ว่า ไม่ว่าบุคคลใดที่เกี่ยวข้องกับคดีคดีนี้ ถ้ามีความผิดจริง ก็จะออกหมายจับ และเรียกตัวมาดำเนินคดี ผิดหรือว่าถูกก็ว่ากันไป ส่วนหนึ่งตอนนี้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุ ซึ่งจะทำการค้นหาและเก็บกู้ในวันนี้ เวลา 09.00 น. และในวันนี้จะนำตัวนายรณชัย ไปขออำนาจศาลฝากขังระหว่างดำเนินคดีด้วย

    ข่าวที่เกี่ยวข้อง

    + หึ่ง'กิ๊กไอ้เก่ง'เอี่ยวหาปืน ตร.พบหลักฐานจ่อเอาผิด/พ่อแม่เชื่อรู้เห็นฆ่า'หมอปอ'


    ที่มา:  naewna

    นักโทษหญิงพุ่ง! เทียบอัตราประชากร ไทยอันดับ1ของโลก

    By: news media On: 5:54 PM
  • Share The Gag
  • เปิดสถิติ10 ปีคุกไทย ผู้ต้องขังทำหญิงเพิ่มขึ้นเท่าตัว จำนวนนักโทษหญิงสูงเป็นอันดับ 4 ของโลกรองจากสหรัฐฯ จีน รัสเซีย หากเทียบอัตราประชากรแล้ว ไทยอันดับ1ของโลก


    เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 60 สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) ร่วมกับโครงการกำลังใจ ในพระดำริพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา และกรมราชทัณฑ์ จัดเสวนาหัวข้อ ก้าวที่พลาดกับโอกาสในการแก้ไข มิติใหม่แห่งความร่วมมือ เพื่อช่วยเหลือผู้ต้องขังหลังพ้นโทษเนื่องในโอกาสครบรอบ 7 ปี การรับรองข้อกำหนดกรุงเทพ
    นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) กล่าวว่า แม้โทษจำคุกจะเป็นกลไกสำคัญของกระบวนการยุติธรรมทางอาญา แต่ผลกระทบของการจำคุกก็อาจกลายเป็นตราบาปของผู้ต้องขัง ไม่ว่าจะเป็นผู้ต้องขังหญิงหรือชาย อย่างไรก็ตามเชื่อว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่สังคมสามารถหยิบยื่นให้ได้ก็คือ โอกาสที่จะทำหน้าที่ในฐานะสมาชิกในครอบครัว โอกาสที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมอีกครั้งโดยไม่มีตราบาป TIJ จึงพยายามผลักดันให้เรือนจำทั่วประเทศนำข้อกำหนดกรุงเทพไปปฏิบัติเพื่อแก้ไข ฟื้นฟู ผู้กระทำผิดผ่านกิจกรรมและโปรแกรมการพัฒนาทักษะในการประกอบอาชีพต่างๆ ควบคู่ไปกับการปรับสภาพจิตใจ ทัศนคติ และพฤติกรรมของผู้ต้องขังให้เป็นคนที่ดีกว่าเดิม เพื่อช่วยสร้างพลังด้านบวกให้พวกเขากลับใช้ชีวิตในสังคมได้โดยไม่หวนมากระทำความผิดอีก
    นายกิตติพงษ์ กล่าวอีกว่า เนื่องในวาระการครบรอบ 7 ปีข้อกำหนดกรุงเทพ และจุดเริ่มต้นของ TIJเกิดขึ้นเพื่อรองรับข้อกำหนดกรุงเทพ โดยหนึ่งในภารกิจหลัก คือการส่งเสริมการปฏิบัติที่ดีต่อผู้ต้องขังทั้งในประเทศไทยและในภูมิภาคอาเซียน ให้เป็นไปตามมาตรฐานระหว่างประเทศ โดยโครงการสำคัญที่ TIJ ได้ดำเนินการร่วมกับกรมราชทัณฑ์คือโครงการเรือนจำต้นแบบตามข้อกำหนดกรุงเทพ เพื่อส่งเสริมศักยภาพเจ้าหน้าที่ในการนำเอาข้อกำหนดกรุงเทพไปปรับใช้ และส่งเสริมให้เกิดเรือนจำและทัณฑสถานหญิงที่สามารถนำข้อกำหนดกรุงเทพมาปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับชีวิตในเรือนจำและอนาคตของผู้ต้องขัง นำไปสู่การสร้างสังคมที่ดีอย่างยั่งยืน
    ด้าน พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวว่าจากสถิติในรอบ 10 ปีของผู้ต้องขังหญิงจากข้อมูลของกรมฯระบุว่า ประเทศไทยมีจำนวนผู้ต้องขังหญิงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2560 มีจำนวนผู้ต้องขัง 42,772 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2551 ซึ่งมีจำนวนผู้ต้องขัง 26,321 คน จำนวนเท่าตัวนอกจากนี้ไทยยังเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้ต้องขังหญิงเป็นอันดับ 4 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา จีน รัสเซีย และหากเทียบกับประชากร 100,000 คน ถือว่าประเทศไทยมีอัตราส่วนผู้ต้องขังหญิงเป็นอันดับ 1 ของโลก อย่างไรก็ตาม ผู้ต้องขังหญิงส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับคดีการเสพ และการค้ายาเสพติดในฐานะผู้ค้ารายย่อย ในขณะเดียวกันผู้หญิงในสังคมไทย ก็มีบทบาทเป็นแม่และเป็นลูกที่มีหน้าที่ดูแลบุพการี การกระทำผิดและเข้าสู่เรือนจำของผู้หญิง จึงส่งผลกระทบต่อผู้ที่ต้องพึ่งพิงอีกหลายคนในครอบครัว และการกลับสู่สังคมโดยไม่ต้องกลับมาอยู่ในวังวนของการกระทำผิดจึงมีความสำคัญยิ่ง
    "จากข้อมูลอัตราผู้กระทำความผิดซ้ำโดยกระทรวงยุติธรรม เดือนพฤศจิกายน 2560 พบว่า ในช่วงปี พ.ศ. 2557 ประเทศไทยมีผู้พ้นโทษที่กระทำความผิดซ้ำภายใน 1 ปี ประมาณ 14% และภายใน 3 ปี ราว 27% โดยสาเหตุของการกระทำความผิดมาจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งขาดการยอมรับจากสังคมภายหลังพ้นโทษ ทั้งนี้มีจากผลการวิจัยพบว่า โอกาสในการทำงานเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ผู้เคยต้องโทษเริ่มต้นชีวิตใหม่หลังพ้นโทษได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงที่จะกระทำความผิดซ้ำ" พ.ต.อ.ณรัชต์ กล่าว
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่าทั้งในงานดังกล่าวได้มีการมอบรางวัลเรือนจำต้นแบบประจำปี 2560 และมอบประกาศนียบัตรเรือนจำต้นแบบเพิ่มอีก 4 แห่งเป็นเรือนจำในภาคเหนือ คือ เรือนจำกลางเชียงราย เรือนจำอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ เรือนจำกลางตาก และทัณฑสถานหญิงพิษณุโลก เพิ่มเติมจากเรือนจำต้นแบบที่มีอยู่เดิม 6 แห่งได้แก่ เรือนจำจังหวัดอุทัยธานี ทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ เรือนจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทัณฑสถานบำบัดพิเศษหญิงอำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานีทัณฑสถานหญิงชลบุรี และเรือนจำกลางสมุทรสาคร ทำให้ประเทศไทยมีเรือนจำต้นแบบรวมทั้งสิ้น 10 แห่ง

    ที่มา: bangkokbiznews

    ยูเอ็นลงมติให้การรับรองเยรูซาเลมเป็นโมฆะ

    By: news media On: 5:51 PM
  • Share The Gag
  • ที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ซึ่งมีจำนวนสมาชิก 193 ประเทศ จัดการประชุมฉุกเฉิน ตามข้อเสนอของชาติมุสลิม และชาติอาหรับ เพื่อเรียกร้องให้สหรัฐเพิกถอนการรับรองเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล


    ทั้งนี้ ที่ประชุมลงมติด้วยคะแนนเสียง 128 เสียง เห็นชอบให้การประกาศของสหรัฐในการรับรองให้นครเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล ถือเป็นโมฆะ และไม่มีผลบังคับทางกฎหมาย ขณะที่ 9 เสียงลงมติคัดค้าน และ 35 เสียงของดออกเสียง
    เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศรับรองอย่างเป็นทางการให้นครเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล พร้อมเปิดเผยแผนการย้ายสถานทูตสหรัฐจากกรุงเทลอาวีฟไปยังนครเยรูซาเลม ซึ่งสร้างความไม่พอใจต่อหลายประเทศทั่วโลก
    ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า สหรัฐจะตัดความช่วยเหลือทางการเงินต่อประเทศที่ลงมติเห็นชอบต่อญัตติในสหประชาชาติในการคัดค้านการที่สหรัฐให้การรับรองนครเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล
    ด้านนางนิกกี้ ฮาลีย์ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรสหรัฐประจำสหประชาชาติ กล่าวว่า สหรัฐจะจดรายชื่อประเทศที่ให้ความเห็นชอบต่อญัตติดังกล่าว
    เมื่อวันจันทร์ สมาชิกส่วนใหญ่ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) มีมติเห็นชอบต่อญัตติที่เสนอโดยอียิปต์ที่ต้องการให้มีการเพิกถอนการรับรองของสหรัฐที่ระบุว่านครเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล
    อย่างไรก็ดี สหรัฐได้ใช้สิทธิวีโต้ต่อมติดังกล่าว ขณะที่อีก 14 ชาติต่างลงมติเห็นชอบต่อญัตติของอียิปต์


    ที่มา: bangkokbiznews

    ไม่เชื่อตำรวจสรุป "ปลัดไอซ์" ปืนลั่น เผยภาพก่อนตายเจรจากับชาย 2 คน - รอยเขม่าชี้ชัดถูกจ่อยิง

    By: news media On: 5:45 PM
  • Share The Gag
  • กลุ่มปลัดไม่เชื่อ "ปลัดไอซ์" ปืนลั่นใส่ขมับตายตามข้อสรุปตำรวจ ชี้รอยเขม่ารอบแผลบ่งบอกถูกจ่อยิง เผยภาพก่อนตายยืนเจรจากับชาย 2 รายหลังเกิดอุบัติเหตุรถตกข้างทาง เรียกร้องนายกฯสั่งสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ชันสูตร ให้ผู้ว่าฯควบคุมการสอบสวน พร้อมขอดีเอสไอสืบสวนคู่ขนานเป็นคดีพิเศษ

    วันนี้ (21 ธ.ค.) ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อว่า "ปลัดมิตร ภรภัทร ใจบุญตระกูล" ได้โพสต์ภาพแชทไลน์จากกลุ่ม "บอร์ดใหญ่ ส.ปอ.ท." โดยมีเนื้อหาในทำนองว่า ไม่เชื่อว่าการตายของ นายณัฐวุฒิ ศรีเกษม หรือปลัดไอซ์ อายุ 31 ปี ปลัดอำเภอนาด้วง จังหวัดเลย ที่เสียชีวิตจากเหตุกระสุนปืนยิงเข้าขมับด้านขวา ว่าเกิดจากอุบัติเหตุปืนลั่นตามที่ตำรวจสรุป โดยเชื่อกันว่าน่าจะเป็นการถูกจ่อยิงโดยบุคคลอื่น ซึ่งปรากฎภาพก่อนตาย ปลัดไอซ์ได้ยืนเจรจากับชาย 2 คน และยังมีอีกคนทำหน้าที่ถ่ายรูปด้วย
    โพสต์ดังกล่าวระบุว่า "กราบเรียน นายกรัฐมนตรี ขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีสั่งการกรณีปลัดอำเภอหนุ่มถูกยิงคารถเก๋งส่วนตัว หลังรถเกิดอุบัติเหตุแล้วลงรถเจรจากับชาย 2 คน มีคนถ่ายรูป 1 คน แต่ตำรวจเร่งสรุปว่าปืนลั่นใส่ขมับตัวเองตาย ซึ่งรอยเขม่าปืนที่บาดแผลปรากฎชัดเป็นวงรอบบาดแผลนั่นมันคือการจ่อขมับยิงตามหลักนิติวิทยาศาสตร์ ขอให้เรียกร้องนายกรัฐมนตรีสั่งการดังนี้

    1.ขอให้นิติวิทยาศาสตร์ตรวจสอบยืนยันชันสูตรวิถีกระสุนและรอยบาดแผลว่าถูกยิงจ่อขมับหรือกระสุนลั่นใส่เอง

    2.ให้นายกฯสั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดควบคุมการสอบสวนตามข้อบังคับ มท.ว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาปี 2523 และขอให้ดีเอสไอสืบสวนคู่ขนานเป็นคดีพิเศษด้วยครับ ส.ปอ.ท.จะติดตามและยกระดับการตรวจสอบเป็นลำดับขึ้นไปขอบคุณไว้อย่างสูงล่วงหน้าครับ"


    ที่มา:  manager

    เบื้องลึกใบสั่ง!! แฉ กมธ.เสียงข้างมากใช้เวลาแค่ ชม.เดียว ยัดไส้อำนาจ ป.ป.ช.ทั้ง “ดักฟัง-แฮกข้อมูล”

    By: news media On: 5:41 PM
  • Share The Gag
  • บื้องลึกใบสั่ง!! แฉ กมธ. เสียงข้างมากใช้เวลาแค่ ชม. เดียว ยัดไส้อำนาจ ป.ป.ช. ทั้ง “ดักฟัง - แฮกข้อมูล” เหมือนบางคนอยากยึดไว้เป็น “หน่วยจารกรรมส่วนตัว” จนเจอดักคอเอาไว้ “แบล็กเมล์” ทางการเมืองมากกว่าติดอาวุธให้ “องค์กรปราบโกง”

    ยักแย่ยักยันกันเป็นพิธีหรือเปล่า .. เมื่อวาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ใช้เวลากว่า 7 ชั่วโมง พิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ในวาระ 2 ได้แค่ไม่กี่มาตรา .. เจอฤทธิ์ สมาชิก สนช.- กรรมาธิการเสียงข้างน้อย ชำแหละ “มาตรา 37/1” ที่ “ติดหนวด - ติดดาบ” เพิ่ม “อำนาจพิเศษ” ให้ ป.ป.ช. ล้วงข้อมูลส่วนตัวเชิงลึก ราวกับ “หน่วยจารกรรม” ทั้ง “ดักฟัง - แฮกข้อมูล” ได้อย่างฟรีสไตล์ .. หลายคนมองว่าจะเป็น “ดาบสองคม” วันหน้าหากถูกครอบงำ ก็จะกลายเป็น “เครื่องมือทางการเมือง” เอาไว้ไล่ล่าเช็คบิลฝ่ายตรงข้าม .. สอดคล้องกับที่ มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. ย้ำมาทุกวันว่า การเพิ่มอำนาจ ป.ป.ช. ดักฟังข้อมูล กระทบประชาชนมากกว่าได้ประโยชน์ .. ขณะที่ วิชา มหาคุณ อดีต ป.ป.ช. ในฐานะ กมธ. เสียงข้างน้อย ซัดแบบไม่ไว้หน้าว่า การใช้อำนาจเกินขอบเขต เรียกร้องมากเกินไป อาจทำให้องค์กรสั่นสะเทือนได้ .. ยิ่งมี “ความไม่บริสุทธิ์ใจ” จะเป็นสิ่งที่ทิ่มตำทำลายผู้ที่นำหลักฐานนั้นมาใช้เอง ข้อมูลหลุดออกไปอาจเป็นเครื่องมือนำไปใช้ “แบล็กเมล์” ทางการเมือง .. ด้าน ภัทระ คำพิทักษ์ กมธ.เสียงข้างน้อยอีกคน แฉเบื้องหลังด้วยว่า การพิจารณายัดอำนาจดักฟังในชั้น กมธ. ใช้เวลาสั้นๆ แค่ไม่เกิน 1 ชั่วโมง พ่วงอำนาจ “อำพราง - สะกดรอย” มาด้วย .. ราวกับมี “ใบสั่ง” ทำให้ กมธ. เสียงข้างมาก เห็นพ้องต้องกันราวกับนัดแนะกันมา .. งานนี้ผู้ต้องสงสัยที่ออก “ใบสั่ง” มา ก็หนีไม่พ้น “บิ๊ก คสช.” ผู้มีอำนาจในปัจจุบัน .. ด้วยว่า กมธ. เสียงข้างมากคนสำคัญ ก็ชื่อ “บิ๊กป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ที่ไม่ใช่ใครที่ไหนน้องชาย “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ คสช. นั่นเอง .. คงเป็นเพราะเดิมพันที่สูง จึงทำให้ คสช. กล้าเดินหมากที่สุ่มเสี่ยงขนาดนี้ นอกจากส่ง “บิ๊กกุ้ย” พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ มายึด ป.ป.ช. เพื่อป้องกันการถูกเช็กบิลภายหลังแล้ว .. ก็ยังมีธงที่จะติดอาวุธให้ ป.ป.ช. กลายมาเป็น “เครื่องมือทางการเมือง” ในการห้ำหั่นกับฝ่ายการเมือง หรือขั้วตรงข้าม ในอนาคตอีกด้วย .. การไม่ฟังอีร้าค่าอีลม กล้าเอาเรื่อง “ละเมิดสิทธิ” มาเป็นเครื่องมือ ตลอดจนการต่อวีซ่า ป.ป.ช. แบบค้านสายตา ฮุบ “องค์กรปราบโกง” ที่เคยเป็นความหวังของประชาชน มาใช้เป็น “เครื่องมือการเมือง” ของตัวเองเช่นนี้ .. จนน่ากลัวว่า หมากยึด พร้อมติดอาวุธให้ ป.ป.ช. งวดนี้ จะกลาย เป็น “ตัวเร่ง” ให้ คสช. ต้องพังเร็วกว่าที่คาด และอาจจะพังพาบกันทั้ง “องคาพยพ คสช.” จนอาจไม่มีโอกาสได้เห็น “พรรคทหาร” ที่อุตส่าห์นัดแนะปั้นกันอยู่ตอนนี้ก็เป็นได้.

    คำนูณ สิทธิสมาน
    คำนูณ สิทธิสมาน

    ** วิบากกรรมไทยแลนด์!! แฉเล่ห์ “รัฐบาลทหาร” ไม่ต่าง “ระบอบแม้ว” จ้องขายชาติ หมกเม็ดนิยามใหม่ “รัฐวิสาหกิจ” ในกฎหมายสำคัญ ใช้อภินิหารบิดวิธีการงบประมาณเพี้ยนไปหมด เมินวาระปราบโกงเข้มข้น อุ้ม “รัฐวิสาหกิจ” พ้นกฎหมายตรวจสอบอีกต่างหาก

    อะไรกันนักกันหนา ประเทศไทย .. พ้น “เผด็จการรัฐสภา” สมัยสองศรีพี่น้อง “ทักษิณ - ยิ่งลักษณ์” มาได้ ก็ต้องมาเจอเล่ห์เหลี่ยม “รัฐบาลทหาร” ที่หมุดหมายไม่ต่างกันเสียอีก .. หมุดหมายที่ว่าคือ การเร่ขาย “รัฐวิสาหกิจ” เปิดช่องให้ทั้ง “ทุนนอก - ทุนไทย” เข้ามาสวาปาม .. ก็ล่าสุด คำนูณ สิทธิสมาน อดีตกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กำลังเกาะติด “เล่ห์เพทุบาย” ผ่านการตรากฎหมายหลายฉบับในยุค คสช.เรืองอำนาจ .. เกิดไป “สะกิดใจ” การปรับเปลี่ยนนิยามคำว่า “รัฐวิสาหกิจ” ที่ทำให้ “ความเป็นรัฐเจือจางลง” ในชั้นของบรรดาบริษัทลูกทั้งหลาย .. เจือจางลงไม่ว่า ยังมีแนวโน้มอาศัยจังหวะร่างกฎหมายใหม่หลายฉบับ เปลี่ยนนิยามใหม่ตัด “บริษัทลูก” ออกไปจากความเป็นรัฐวิสาหกิจแบบเหมารวมทั้งหมด สุดท้ายก็อาจหลุดพ้นความเป็น “รัฐวิสาหกิจ” ไปจนได้ .. แถมยังมีข้อสังเกตน่าสนใจว่า นิยาม “รัฐวิสาหกิจ” ในกฎหมายฉบับต่างๆ มีข้อความที่ส่อจะไม่เหมือนกัน .. อย่างน้อยๆ ใน ร่าง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. .... และร่าง พ.ร.บ. วิธีการงบประมาณ พ.ศ. ... .. หากเปลี่ยนนิยามรัฐวิสาหกิจใหม่ตามที่ “คำนูณ” ตั้งข้อสังเกตจริง .. ผลที่ได้คือ การหลุดออกจากการกำกับดูแลและตรวจสอบโดยกลไกรัฐของบริษัทชั้นลูกลงไป .. ทั้งการไม่เป็น “หน่วยรับตรวจ” ตามกฎหมายการตรวจเงินแผ่นดิน สตง. ตรวจสอบไม่ได้ .. และยังไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายการจัดซื้อจัดจ้างฉบับใหม่ที่ว่ากันว่า “เข้มข้น” เหลือเกินด้วย .. แล้วจะยังก้าวพ้นกรอบของกฎหมายของ ปปท. รวมไปถึงกฎหมาย ป.ป.ช. ใหม่ที่กำลังทำคลอดอยู่ ที่แม้ ป.ป.ช. จะมี “อำนาจล้นฟ้า” แต่กลับไม่มีปัญญาเข้ามาตรวจสอบ “บริษัทลูก” ของรัฐวิสาหกิจต่างๆได้ .. ต้องยกนิ้วให้เหล่า “เนติบริกร” ที่บิดซะกฎหมายที่ “บรมครูการเงินการคลังของไทย” วางรากฐานไว้ตั้งแต่ยุคปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศได้แบบสุดแนบเนียน .. ทะลุกลางปล้องวาระปราบโกงเข้มข้น อุ้ม “รัฐวิสาหกิจ” พ้นกฎหมายตรวจสอบไปแบบหน้าตาเฉย ยิ่งกว่า “ปล้นกลางแดด” สมัย “ระบอบแม้ว” เสียอีก.

    ไพรินทร์ ชูโชติถาวร
    ไพรินทร์ ชูโชติถาวร

    **อาถรรพ์เมล์ NGV!! จับพิรุธ “บอร์ด ขสมก.” โหวตอนุมัติซื้อจาก “กลุ่ม ช ทวี” แบบไม่เอกฉันท์ วิจารณ์แซ่ดเพิ่งมีปม Cash box 1.6 พันล้าน แถมยังส่งมอบงานให้ บขส. ดันมาคง้าโครงการสำคัญงบประมาณหลายพันล้านได้หน้าตาเฉย

    ไปโดนอาถรรพ์ตัวไหนมาไม่รู้ .. ป่านนี้โครงการอภิมหากาพย์ “รถเมล์ NGV” ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ที่ตั้งแท่นมาตั้งแต่ปีมะโว้ ยังไม่มีทีท่าจะสำเร็จ .. กระทั่งในยุค “รัฐบาลลายพราง” ก็ตั้งเรื่องประมูลแล้วประมูลอีก 6 - 7 หน ไม่สำเร็จซักกะที .. ล่าสุด เริ่มมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เมื่อ ขสมก. ทุบโต๊ะใช้วิธีประมูล โดย “การคัดเลือก” ก่อนจะได้ “กลุ่มร่วมทำงาน SCN-CHO (Consortium SCN-CHO)” ซึ่งมี บริษัท ช ทวี จำกัด (มหาชน) หรือ CHO ร่วมกับ บริษัท สแกน อินเตอร์ จํากัด (มหาชน) หรือ SCN เป็นผู้ชนะในการประมูล ในฐานะที่ยื่นซองแค่รายเดียว สำหรับโครงการรถเมล์ NGV จำนวน 489 คัน ราคากลาง 4,020 ล้านบาท ก่อน

    เจรจาต่อรองหลายต่อหลายรอบจนได้ข้อยุติที่วงเงิน 4,221 ล้านบาท เกินจากราคากลางประมาณ 5% หรือตกอยู่ที่คันละประมาณ 8.6 ล้านบาท รวมค่าบำรุงรักษา .. ท่ามกลางคำถามว่าเดิมโครงการรถเมล์ NGV ตั้งมามากกว่า 10 ปี จนป่านนี้เทคโนโลยีล้ำสมัยไปไหนต่อไหนแล้ว ทั้งระบบไฟฟ้า หรือระบบไฮบริด แต่ทำไมถึงยังจับจดอยู่กับ “เมล์ NGV” ที่หลายประเทศจ้องจะโละอยู่ได้ .. แต่เรื่องคงไม่จบเพียงแค่นี้ เพราะชัยชนะของกลุ่มร่วมทำงาน SCN-CHO ยุติลงแบบงงๆ ท่ามกลางกระแสข่าว ว่า “บอร์ด - ผู้บริหาร ขสมก.” เร่งรีบกันเป็นพิเศษ .. ใช่ว่าจะสนองนโยบาย “นายกฯตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ประกาศให้ปิดโครงการให้ได้โดยเร็ว เพื่อให้ได้รถมาไว้บริการช่วงเปิดเทอมปีหน้าหรอก .. แต่ดันมีคิวแทรกจาก “รัฐวิสาหกิจจีน” ที่เสนอซื้อขายแบบ “จีทูจี” จัดหนักโปรโมชั่น 1 แถม 1 ในวงเงินราคาต่ำกว่าเกือบพันล้านเข้ามา .. เกิดไปเตะตา “บิ๊กรัฐบาล” เข้า ก็เกรตงว่า “เบี้ยใบ้รายทาง” ที่หวังจะเก็บเกี่ยวกัน ก็คงแห้ว .. ช่วงนี้ “บอร์ด ขสมก.” นำโดย ณัฐชาติ จารุจินดา ก็เลยจัดประชุมกันแบบถี่ยิบ เพื่อลงมติอนุมัติการจัดซื้อรถกับทาง SCN-CHO ให้สำเร็จเสร็จสิ้น ซึ่งแม้จะลงมติผ่านไปได้ แต่ก็ผ่านไปแบบ “ทุลักทุเล” ไม่น้อย .. ด้วยข่าวล่ามาช้าหน่อยระบุว่า “บอร์ด ขสมก.” ต้องมีมติถึง 2 ครั้ง 2 คราด้วยกัน โดยมติอนุมัติให้จัดซื้อครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 ธ.ค. ก่อนที่จะนำเข้าบอร์ด ขสมก. เพื่อรับรองมติซ้ำอีกครั้งเมื่อวันที่ 20 ธ.ค. ที่ผ่านมา .. น่าสนใจว่าเหตุใด มติจึงออกมาอย่าง “ไม่เป็นเอกฉันท์” หรืออาจจะใช้เฉือนกันเฉียดฉิวเลยก็ว่าได้ สะท้อนว่า “บอร์ดเสียงข้างน้อย” มีข้อกังวลประการใดหรือไม่ .. เรื่องหนึ่งที่ชัดเจนก็ผลงานของ บริษัท ช ทวี จำกัด (มหาชน) หรือ CHO ที่เพิ่มมีปัญหาในโครงการ เครื่องเก็บค่าโดยสาร (Cash box) ที่นำร่องติดตั้งบนรถเมล์ ขสมก. มูลค่า 1,665 ล้านบาท ที่ติดตั้งได้แปบเดียว ก็มีแต่ปัญหา กระทั่งบอร์ด ขสมก.ต้องมีคำสั่งให้ยุติการติดตั้งไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว .. รวมทั้งโครงการปรับปรุงรถโดยสารในส่วนของการปรับปรุงแชสซีส์ และครอบตัวถังรถโดยสารใหม่ จำนวน 57 คัน วงเงิน 114 ล้านบาท ซึ่ง CHO ไม่สามารถส่งมอบให้ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ได้อีกต่างหาก .. ผลงานเป็นที่โจษขานขนาดนี้ ดันมาชนะประมูลโครงการสำคัญมูลค่าหลายพันล้านไปได้เฉยเลย .. รัฐมนตรีใหม่ ไพรินทร์ ชูโชติถาวร รมช.คมนาคม น่าจะลงไปดูหน่อยนะขอรับ


    ที่มา:  manager

    พี่สาวสุดห่วง เผยสาเหตุทอมถูกแฟนสาวกระทืบในลิฟท์ ล่าสุด คืนดีกันแล้ว

    By: news media On: 12:06 AM
  • Share The Gag
  • จากกรณีที่มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์คลิปวงจรปิด เหตุการณ์ที่สาวทอมถูกแฟนสาวทำร้ายร่างกายในลิฟท์จนหมดสติ โดยมีสาเหตุมาจากเรื่องหึงหวง ก่อนจะลากออกจากลิฟท์ไปคาดว่าน่าจะถูกนำไปซ้อมต่อที่ห้องนั้น

    ล่าสุด (21 ธ.ค.) รายการเรื่องล่าเช้านี้ ช่อง 3 รายงานว่า พี่สาวของสาวทอมซึ่งถูกทำร้ายในคลิปดังกล่าว เปิดเผยว่า ตนรับกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้ แม้น้องสาวของตนจะบอกว่าเป็นความผิดของตัวเองก็ตาม เพราะคนรักกันก็ไม่น่าจะทำกันรุนแรงกันถึงขั้นนี้ เพราะไม่ใชแค่ในลิฟท์ แต่มีการลากไปซ้อมต่อที่ห้องพัก

    โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยรพ.โทรมาบอกตนเองให้ไปรับน้องสาว และคนที่ทำร้ายก็คือแฟนสาวของน้องเอง เนื่องจากทะเลาะกันหึงหวงกัน ตอนแรกฝ่ายหญิงใช้มือถือทุบไปที่หัวของน้องจนแตก ส่วนอีก 2 คนที่อยู่ในลิฟท์คือเพื่อนของน้อง

    โดยตนเองในฐานะพี่ก็รู้สึกเป็นห่วง เพราะตอนนี้น้องของตนกลับไปคืนดีกลับแฟนสาวแล้ว และตนกังวลว่าหากเกิดเรื่องหึงหวงแล้วจะทำร้ายกันอีก ตนพยายามจะเตือนน้อง โดยน้องสาวบอกว่าแฟนสาวรับปากแล้วว่าจะไม่ทำร้ายร่างกาย และระบุว่าเป็นความผิดของตัวเอง พร้อมขอให้ตนเองถอนแจ้งความแฟนสาว


    ที่มา: sanook

    Wednesday, December 20, 2017

    จำคุกผู้บริหาร บ.เมก้า-วิศวกร คนละ 2 ปี รอลงอาญา ฐานติดตั้งไพโรเจน'เอสซีบี ปาร์ค'ประมาท ทำคนงานตาย 8 ศพ

    By: news media On: 11:59 PM
  • Share The Gag
  • วันนี้ (21 ธ.ค.)เมื่อเวลา 10.00 น.ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพากษา คดีหมายเลขดำ อ.1764 /2559 ที่อัยการสำนักงานคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายณ.พงษ์ สุขสงวน อายุ 45 ปี ประธานกรรมการบริษัท เมก้า แพลนเน็ต จำกัด , นายอดิศร โฟดา อายุ 51 ปี ผู้บริหาร บจก.เมก้าแพลนเน็ต , นายจิระวัฒน์ เปรมปรีดิ์ อายุ 30 ปี วิศวกรโครงการปรับปรุงระบบป้องกันอัคคีภัยของ บจก.เมก้าฯ,นายสมคิด ตันงาม อายุ 59 ปี กก.บจก.โจนส์ แลงฯ , นายสมคิด จันทร์หอม อายุ 36 ปี หัวหน้าช่าง บจก.โจนส์ แลงฯ จำเลยที่ 5 , นายตรีภพ ยังประเสริฐกุล อายุ 37 ปี ผู้จัดการดูแลอาคาร บจก.โจนส์ แลงฯ จำเบยที่ 6 , น.ส.ขจรจิตร พรหมดีราช อายุ 45 ปี พนักงานบริษัท เอบิต มัลติซิสเต็ม จำกัดที่รับช่วงต่อจาก บจก.เมก้า แพลนเน็ต ควบคุมดูแลการวางท่อระบบดับเพลิงภายในอาคาร จ้ำลยที่ 7 , นายบุญเสริม กระจาด อายุ 36 ปี วิศวกร บจก.เอบิต มัลติซิสเต็มที่คุมคนงาน, บริษัท เมก้า แพลนเน็ต จำกัด โดยนายณ.พงษ์ สุขสงวนและนายอดิสร โฟดา กรรมการผู้มีอำนาจ,บริษัทโจนส์ แลง ลาซาลล์ แมนเนจเม้นท์ จำกัดโดยนายสมคิด ตันงาม กรรมการผู้มีอำนาจ เป็นจำเลยที่ 1-10 ในความผิดฐานร่วมกันกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และได้รับอันตรายแก่กายและอันตรายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 , 300 , 390

    คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องว่า เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2559 เวลากลางคืน จำเลยทั้งหมด ซึ่งมีนายณ.พงศ์ จำเลยที่ 1 และนายอดิสร จำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัทเมก้า แพลนเน็ต จำกัด มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารงานต่างๆของ บริษัทเมก้า แพลนเน็ต จำกัด และควบคุม สั่งการ และมอบนโยบายในการดำเนินงานแก่พนักงานของบริษัท โดยเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2558 บริษัทเมก้า แพลนเน็ต จำกัด จำเลยที่ 9 ได้ทำสัญญากับธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) รับจ้างปรับปรุงและบำรุงรักษาระบบ fire risk assessment โดยให้บริษัทเมก้าฯ ติดตั้งระบบดับเพลิงแบบไนโตรเจน จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้แทนของบริษัทเมก้าฯ และโดยฐานะส่วนตัว ได้ให้พนักงานเข้าทำการติดตั้งระบบดับเพลิงแบบไนโตรเจนที่ห้องเอกสารสำคัญ ชั้นบี 2 (ใต้ดิน) ประตู 5 อาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ จำเลยทั้งสามรู้อยู่แล้วว่า เป็นสถานที่ที่มีการติดตั้งระบบดับเพลิงไพโรเจน โดยใช้สารเคมีแอโรซอล ซึ่งเป็นสารเคมีอันตรายอยู่ก่อนแล้ว โดยก่อนที่จำเลยทั้งสามจะให้พนักงานและบุคคลอื่นที่จำเลยทั้งสามได้ว่าจ้างให้มาทำงานเข้าทำงานนั้น จำเลยทั้งสามมีหน้าที่ต้องดูแลความปลอดภัย โดยต้องแจ้งให้กับลูกจ้างและบุคคลอื่นที่เข้าทำงานในสถานที่นั้นทราบถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการทำงาน และก่อนจะเข้าทำงาน ต้องจัดให้มีการฝึกอบรมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับงานที่ทำ จัดและดูแลเตรียมอุปกรณ์ให้ลูกจ้างสวมใส่อุปกรณ์คุ้มครอง ความปลอดภัยส่วนบุคคลที่ได้มาตรฐาน และสั่งให้ลูกจ้างหยุดทำหากไม่สวมใส่อุปกรณ์ รวมทั้งจัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับช่วยเหลือในกรณีที่เกิดเหตุเครื่องดับเพลิงระบบไพโรเจนทำงานขึ้น โดยปล่อยสารเคมีแอโรซอล ออกมา และจำเลยทั้งสามจะต้องทำหน้าที่ตามสัญญา โดยต้องไม่ว่าจ้างบุคคลนอกจากพนักงานของจำเลยทั้งสามเข้าทำงานในสถานที่ดังกล่าว และจะต้องจัดเตรียมอุปกรณ์เพื่อครอบเครื่องตรวจจับควัน (SMOKE DETECTOR) เพื่อป้องกันมิให้ระบบดับเพลิงไพโรเจนทำงาน ในกรณีที่พนักงานของจำเลยทั้งสามใช้เครื่องสว่านไฟฟ้าทำการเจาะเพดานและกำแพงฝาผนัง ทำให้เกิดฝุ่นควันขึ้น ทั้งมิได้จัดเตรียมอุปกรณ์ให้ลูกจ้างสวมใส่อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัย เช่น หน้ากากป้องกันควัน แว่นตาป้องกันแก๊ส ฝุ่นละออง และเมื่อลูกจ้างได้เข้าทำงานและได้ทำการใช้สว่านไฟฟ้าเจาะกำแพง เจาะเพดาน ภายในห้องดังกล่าว ซึ่งเป็นสถานที่ปิด ไม่มีประตูและหน้าต่างระบายอากาศ จึงทำให้เกิดควันและฝุ่นจำนวนมากสะสมอยู่ภายในห้อง ทำให้เครื่องตรวจจับควัน สามารถตรวจจับฝุ่นควันได้ ได้ทำให้ระบบดับเพลิงไพโรเจนทำงานและได้ปล่อยสารเคมีแอโรซอลออกมา ทำให้สารเคมีอันตราย แอโรซอลฟุ้งกระจายอยู่ในห้องที่เกิดเหตุ ทำให้พนักงานลูกจ้างและบุคคลอื่นที่จำเลยทั้งสามว่าจ้างมานั้นไม่สามารถมองเห็นและไม่มีเครื่องอุปกรณ์ป้องกันแก๊สและฝุ่นละอองสวมใส่ และไม่ทราบวิธีหลบหนีออกจากห้องที่เกิดขึ้นจึงไม่สามารถออกจากห้องดังกล่าวได้ จนสูดหายใจเอาสารเคมีอันตรายแอโรซอลเข้าไปในร่างกายจำนวนมาก เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตรวม 8 ราย เนื่องจากขาดอากาศหายใจ จากพิษคาร์บอนมอนออกไซด์ และทำให้นายฉัตรชัย ขันทอง ได้รับอันตรายสาหัส เหตุเกิดที่ แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กทม.

    โดยวันนี้จำเลยที่ 1-10 และทนายความจำเลยเดินทางมาศาล โดยมีบุคคลใกล้ชิด รวมทั้งญาติของผู้เสียชีวิตมาร่วมฟังคำพิพากษา

    ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าจนาย ณ.พงษ์ จำเลยที่ 1,นายอดิศร จำเลยที่ 2,นายจิระวัฒน์ จำเลยที่ 3,และ บริษัท เมก้าฯ จำเลยที่ 9 ได้ร่วมกันกระทำผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และได้รับอันตรายแก่กายและอันตรายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ซึ่งเป็นบทหนักสุด ให้จำคุกจำเลยที่ 1,2,3 คนละ 2 ปี ปรับ 20,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 9 ปรับเงิน 20,000 บาท

    แต่จำเลยที่ 1,2,3 ไม่เคยต้องโทษมาก่อนอีกทั้งความประมาทที่เกิดขึ้นในการปิดระบบดับเพลิงเดิม ก็นอกเหนือจากความสามารถของจำเลย ดังนั้นจึงเห็นควรให้โอกาสจำเลยโดยรอลงอาญาคนละ 2 ปีและให้ร่วมกันชดใช้เงินญาติผู้ตาย 3 รายที่เป็นโจทก์ร่วมด้วยรวม 2.1 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีส่วนจำเลยที่ 4 - 8 และ 10 พิพากษายกฟ้อง



    ที่มา: manager

    ก๊วนล้มโรดแมพเลือกตั้ง กับว่าที่พรรคร่วมรัฐบาลคสช.?

    By: news media On: 11:52 PM
  • Share The Gag
  • แม้ “นายกฯลุงตู่” เตรียมปลดล็อกปัญหา จากการที่ตัวเอง “ไม่ยอมปลดล็อก” ให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมได้ โดยเตรียมใช้อำนาจตามมาตรา 44 ขยายเงื่อนเวลาที่พรรคการเมืองต้องดำเนินการตามกฎหมายพรรคการเมืองที่ประกาศใช้แล้วตั้งแต่เดือน ต.ค.ออกไป
    แต่ความเคลื่อนไหวนี้ในทางการเมือง หลายฝ่ายเชื่อว่าเป็นความพยายามก่อหวอดเพื่อหวังผลให้เลื่อนเวลาการเลือกตั้งออกไปมากกว่าการเคลื่อนไหวให้แก้กฎหมายพรรคการเมือง และประเด็นอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง มีการดำเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เป็นจังหวะจะโคน เหมือนแบ่งงานกันทำ และวางแผนมาเป็นอย่างดี
    เริ่มจาก ไพบูลย์ นิติตะวัน หนึ่งในคณะผู้เตรียมการก่อตั้งพรรคประชาชนปฏิรูป ซึ่งประกาศชัดถ้อยชัดคำว่าจะสนับสนุน “บิ๊กตู่” เป็นนายกฯต่อไปอีก 1 สมัย ออกมาเคลื่อนไหวเรื่องนี้ 2 รอบ ทั้งเสนอให้แก้กฎหมายพรรคการเมืองเพื่อไม่ให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างพรรคการเมืองเก่าที่มีสมาชิกอยู่ก่อนแล้วกับพรรคการเมืองที่กำลังจะตั้งขึ้นใหม่ และการเสนอให้ใช้มาตรา 44 สั่งงดเว้นการบังคับใช้บทบัญญัติบางมาตราของกฎหมายพรรคการเมือง ในเรื่องที่เกี่ยวกับการทำ “ไพรมารีโหวต”
    รายต่อมา สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการ กปปส. ที่ออกตัวสนับสนุน “นายกฯลุงตู่” มาตั้งแต่ก่อนปฏิวัติ ก็ออกมาส่งหนังสือถึง สนช. สนับสนุนให้แก้กฎหมายพรรคการเมือง เพื่อลดความเหลื่อมล้ำระหว่างพรรคการเมืองเก่าและพรรคที่จะตั้งขึ้นใหม่
    ช่วงเวลาใกล้เคียงกัน สมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มมัชฌิมา ได้ออกมาเสนอแนวคิดให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ ในประเด็นเกี่ยวกับที่มาของ ส.ส. ให้ไม่ต้องสังกัดพรรคการเมือง โดยให้เป็น ส.ส.อิสระทั้ง 400 เขตเลือกตั้ง ซึ่งประเด็นนี้นอกจากต้องแก้รัฐธรรมนูญที่เพิ่งบังคับใช้มาเมื่อวันที่ 6 เม.ย.แล้ว ยังต้องแก้กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญเกือบทั้งหมด ทั้งกฎหมายพรรคการเมือง และกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ด้วย โดย สมศักดิ์ บอกว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 ปีนับจากนี้ ซึ่งถือเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านเพื่อความปรองดอง
    กล่าวสำหรับ สมศักดิ์ เทพสุทิน ต้องโฟกัสเขามากเป็นพิเศษ เพราะเขาคือนักการเมืองเจ้าของฉายา “รมต.เรียงหิน” เขาเป็นอดีต ส.ส.สุโขทัย หลายสมัย สถานะในปัจจุบันคือแกนนำกลุ่มมัชฌิมา มีอดีต ส.ส.ในสังกัดอยู่จำนวนหนึ่ง
    สัปดาห์หน้า “นายกฯลุงตู่” จะนำคณะรัฐมนตรีไปประชุม ครม.สัญจรที่ จ.สุโขทัย ทำให้ สมศักดิ์จึงได้จังหวะออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมือง และเสนอแก้รัฐธรรมนูญให้ ส.ส.ไม่ต้องสังกัดพรรค จนเป็นที่ฮือฮา เพราะการเสนอแก้กฎหมายพรรคการเมือง หากทำในกระบวนการปกติ คือเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ จะต้องใช้เวลานานหลายเดือน และกระทบกับ “โรดแมพเลือกตั้ง” อย่างแน่นอน แต่หากต้องแก้รัฐธรรมนูญด้วยตามที่สมศักดิ์เสนอ อาจต้องใช้เวลาอีกเป็นปี
    ความเคลื่อนไหวของ “สามเกลอการเมือง” ไพบูลย์ นิติตะวัน, สุเทพ เทือกสุบรรณ และ สมศักดิ์ เทพสุทิน ทำให้คอการเมืองตั้งคำถามว่า คนเหล่านี้มีแผนล้มโรดแมพเลือกตั้งหรือไม่ และยังทำให้มองเห็นภาพการ “จับขั้วการเมือง” ของ คสช. ที่แม้จะปฏิเสธการตั้งพรรคทหาร (ที่เป็นข่าวล่าสุดคือ พรรคประชารัฐ) แต่จริงๆ แล้ว คสช.ก็ไม่ได้หยุดนิ่ง เพราะได้สร้างเครือข่ายทางการเมืองเอาไว้พอสมควร เพื่อเตรียมเสียงสนับสนุนสำหรับโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี
    แน่นอนว่าในเครือข่ายนี้ ต้องมีพรรคประชาชนปฏิรูปของไพบูลย์ มีกลุ่มนักการเมืองที่เป็นอดีตแกนนำ กปปส.ของสุเทพ มีกลุ่มมัชฌิมาของสมศักดิ์ และอาจรวมไปถึงพรรคชาติไทยพัฒนาที่ส่งตัวแทนเข้ามาเป็นรัฐมนตรีใน ครม.ประยุทธ์ 5 แล้ว
    นี่อาจจะเป็น “ภาพลางๆ” ของรัฐบาลผสมชุดใหม่หลังเลือกตั้ง โดยมีบิ๊กคสช.หวนกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก 1 สมัย


    ที่มา: bangkokbiznews

    พ่อหมอปอร้องประหาร 'เก่ง' วอน ตร.ตามเงิน7แสน ทอง10บาท

    By: news media On: 11:49 PM
  • Share The Gag
  • เมื่อเวลา 11.30 น.วันที่ 21 ธ.ค.60 ที่บ้านเลขที่ 50 หมู่ 20 ต.ทุ่งระยะ อ.สวี จ.ชุมพร ซึ่งเป็นบ้านของ นายเชาว์ ครัวจตุรัส อายุ 55 ปี บิดาของ น.ส.นนทิญา ครัวจตุรัส หรือ “หมอปอ” เจ้าหน้าที่ทันตสาธารณสุข รพ.สต.สลุย อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร ที่ถูกว่าที่เจ้าบ่าวคือ นายรณชัย ปานชาติ หรือ “เก่ง” อายุ 26 ปี ใช้อาวุธปืนยิงจนถึงแก่ความตาย เมื่อเวลาประมาณ 01.00 น.วันที่ 19 ธ.ค.60 ญาติๆ ของ น.ส.นนทิญา กำลังช่วยกันประกอบอาหารเพื่อเลี้ยงแขกที่จะมาร่วมงานบำเพ็ญกุศลศพ น.ส.นนทิญา เป็นคืนที่สอง หลังจากนำศพมาจาก รพ.สุราษฎร์ธานี เมื่อเย็นวันที่ 20 ธ.ค.60 เพื่อประกอบพิธีรดน้ำศพและสวดพระอภิธรรมเป็นคืนแรก
    นายเชาว์ เปิดเผยหน้าโลงศพของบุตรสาวว่า ครอบครัวของตนรู้จักนายเก่งมา 6-7 ปี ตั้งแต่นายเก่งและน้องปอยังเป็นเพื่อนโรงเรียนเดียวกัน ไม่เคยคิดมาก่อนว่านายเก่งจะฆ่าลูกสาวของตน เพราะทุกเสาร์-อาทิตย์ นายเก่งจะมาหาลูกสาวที่บ้าน และมีนิสัยดี พูดจาอ่อนน้อม จนเมื่อต้นปี 2560 นายเก่งพาผู้ใหญ่มาสู่ขอ โดยขอหมั้นด้วยทองคำ 10 บาทเอาไว้ก่อน และมีกำหนดจะแต่งงานกับบุตรสาวในวันอาทิตย์ที่ 24 ธ.ค.60 นี้

    นายเชาว์ กล่าวต่อไปว่า ก่อนที่บุตรสาวจะถูกฆ่า เคยโทร.มาเล่าปัญหาให้ฟังว่าพบนายเก่งแอบไปมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเพื่อนร่วมงาน ครอบครัวจึงรู้ว่าบุตรสาวกำลังทุกข์ใจจริงๆ เพราะถ้าไม่มีปัญหาหนักบุตรสาวมักไม่ค่อยเล่าอะไรให้ฟัง แต่นายเก่งยังยืนยันว่าจะแต่งงานกับบุตรสาว เพื่อพิสูจน์ว่านายเก่งเลือกบุตรสาวของตน แต่ไม่เคยคิดว่านายเก่งจะฆ่าบุตรสาวของตนก่อนถึงวันแต่งงานไม่กี่วันเท่านั้น
    “ญาติๆ กำหนดจะจัดงานรดน้ำสังข์ให้เก่งกับน้องปอที่บ้านในช่วงเช้า แล้วจัดงานฉลองแต่งงานที่สนามกีฬาโรงเรียนน้ำลอดน้อย โดยจัดเตรียมทุกอย่างไว้เกือบหมดแล้ว ไม่คิดว่าจะต้องเปลี่ยนจากงานแต่งงานมาเป็นงานเผาศพลูกสาวแทน เพราะเราจะตั้งศพบำเพ็ญกุศลไปจนถึงคืนวันที่ 23 ธ.ค.60 แล้วจัดงานฌาปนกิจศพในวันอาทิตย์ที่ 24 ธ.ค.60 ที่เมรุวัดถ้ำฤๅษี ต.เขาทะลุ อ.สวี จ.ชุมพร ในเวลา 13.00 น.” นายเชาว์ กล่าว
    นายเชาว์ กล่าวถึงเงินสดจำนวน 7 แสนบาท และทองคำ 10 บาท ที่บุตรสาวเตรียมใช้จัดงานแต่งงาน และถูกเบิกจาก ธ.กรุงไทย และ ธ.ออมสิน เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.60 ก่อนบุตรสาวเสียชีวิตว่า ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน เพราะบัญชีสูญหาย ยังหาไม่พบ จึงอยากตำรวจช่วยสืบสวนด้วยว่าเงินทั้งหมดและทองคำไปอยู่ที่ไหน ส่วนเรื่องคดีต้องขอขอบคุณตำรวจทุกคนที่ช่วยกันคลี่คลายในเวลาอันรวดเร็ว ก่อนที่กำหนดไว้ 3 วัน และญาติๆ อยากให้ลงโทษนายเก่งจนถึงที่สุดด้วยการประหารชีวิตให้ตายตกไปตามบุตรสาว
    “เรื่องแฟนใหม่ของนายเก่ง ครอบครัวทราบจากน้องปอได้ประมาณ 3 เดือน เพราะลูกสาวโทร.มาเล่าให้ฟัง และมั่นใจว่าแฟนใหม่ของนายเก่งต้องมีส่วนรู้เห็นในการฆ่าน้องปอด้วย เพราะในวันเกิดเหตุทำหน้าที่ขับรถรับ-ส่งนายเก่งทั้งก่อนและหลังก่อคดี ดังนั้น จึงอยากให้แฟนใหม่ของนายเก่งถูกดำเนินคดีด้วย” นายเชาว์ กล่าว
    ด้าน นายสำราญ แก้วใหญ่ อายุ 58 ปี ชาวบุรีรัมย์ พี่ชายของ นางสมศรี ครัวจตุรัส อายุ 51 ปี มารดาของน้องปอ เปิดเผยว่า ตนเป็นคนบ้านเดียวกับครอบครัวของนายเก่ง ซึ่งนายเก่งมีบิดามารดาชื่อ นายวินัย ปานชาติ และ นางยุพเยาว์ ปานชาติ อยู่หมู่บ้านเทพพัฒนา ต.โคกมะม่วง อ.ปะคำ จ.บุรีรัมย์ ก่อนหน้านี้เคยโทร.คุยกับครอบครัวของน้องปอตลอด แต่หลังเกิดเหตุนายวินัย และ นางยุพเยาว์ ไม่เคยโทร.มาสอบถามเพื่อแสดงความเสียใจ และไม่ทราบว่าทั้งสองคนจะมาร่วมงานบำเพ็ญกุศลศพหลานสาวของตนหรือไม่


    ที่มา: bangkokbiznews

    บัสนักกีฬาชนบรรทุก อดีตเหรียญทองซีเกมส์ดับสลด!

    By: news media On: 11:36 PM
  • Share The Gag
  • วันที่ 21 ธค.60 เมื่อเวลา 10.30 น. นักกรีฑาทีมชาติไทย พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ ที่กำลังเดินทางไปเข้าร่วมการแข่งขัน กรีฑา อิเดะมิซึ กรังด์ปรีซ์ ที่สนาม 3 จังหวัดเชียงใหม่ ที่จะแข่งขันนวันที่ 23-24 ธันวาคมนี้ ได้ประสบอุบัติเหตุ ช่วงแยกอำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท ซึ่งรถบัสของนักกีฬานั้น ขับเลนขวา และ รถบรรทุกนั้นกลับรถกระทันหัน ทำให้ชนกับรถบัสของนักกีฬา และพันเอกหญิงศศิธร รัตนราศรี  (ศศิธร จันทรนุหงษ์.)อดีตนักกรีฑาระยะกลางทีมชาติไทย เจ้าของเหรียญทองซีเกมส์ ครั้งที่ 13 และปัจจุบันเป็น เจ้าหน้าที่สมาคมฯ ซึ่งนั่งอยู่ข้างซ้ายข้างคนขับ เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ
     ขณะที่นักกรีฑาที่เดินทางไปแข่งขันนั้นบาดเจ็บเล็กน้อย 7-8 คน โดยรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ในอำเภอมโนรมย์​จังหวัดชัยนาท ซึ่งจะมีนักกีฬาส่วนหนึ่งเดินทางไปแข่งขันกันต่อ ขณะที่นักกีฬาอีกส่วนหนึ่ง กำลังเดินทางกลับ
     ส่วนพลตำรวจตรีศุภวณัฎฐ อาริยะมงคล หัวหน้าผู้ฝึกสอนกรีฑาทีมชาติไทย ซึ่งทราบเรื่องแล้วกำลังเดินทางไปสถานที่เกิดเหตุ
    โดยพันเอกหญิงศศิธร รัตนราศรี นั้นเป็นที่รักของนักกรีฑาทุกคน และยังเป็นอดีตนักกรีฑาทีมชาติไทยอีกด้วย



    ที่มา: banmuang

    “พ่อแม่หมอปอ”คาใจ! ตร.ไม่จับกิ๊กสาว

    By: news media On: 11:32 PM
  • Share The Gag
  • ‘พ่อ-แม่หมอปอ’ประกาศไม่มีกำหนดเผาศพลูก ยังข้องใจตร.ไม่จับกิ๊กสาวของว่าที่เจ้าบ่าว  ทั้งที่เป็นคนขับรถไปส่งและรับหลังก่อเหตุ แล้วพาหลบหนี  หากไม่ได้รับความเป็นธรรมก็จะประท้วงต่อไป

    วันที่ 21 ธค.60 จากกรณีนายรณชัย ปานชาติ หรือเก่ง อายุ 26 ปี เจ้าหน้าที่การไฟฟ้าอำเภอหลังสวน ว่าที่เจ้าบ่าว สวมหมวกไอ้โม่งไหมพรมอำพรางใช้ปืนลูกซองสั้นบุกยิง นางสาวนนทิญา ครัวจัตุรัส หรือ หมอปอ อายุ 25 เจ้าพนักงานฑัณตสาธารณะสุข รพ.สต.สลุย ว่าที่เจ้าสาวที่จะแต่งงานกันในอีก 5 วัน ตายภายคาห้องนอนชั้นสองบนบ้านพักข้าราชการ ในพื้นที่หมู่ที่ 5 ตำบลสองพี่น้อง อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร เหตุเกิดเมื่อกลางดึกวันจันทร์ที่ 18 ธ.ค.2560 ที่ผ่านมา ต่อมาตำรวจจับกุมตัวสาเหตุไม่อยากแต่งงานด้วยเนื่องจากมีกิ๊กคนใหม่ทำงานอยู่ที่เดียวกันตามที่เป็นข่าว



    ความคืบหน้าเมื่อเวลา 20.30 น.วันที่ 20 ธ.ค.60 ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่บ้านเลขที่ 50 หมู่ 10 ตำบลทุ่งระยะ อ.สวี จ.ชุมพร สถานที่ตั้งบำเพ็ญกุศพศพ นางสาวมนทิญา ครัวจัตุรัส เจ้าพนักงานฑัณตสาธารณะสุข หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “หมอปอ” ซึ่งเป็นคืนแรก มีบรรดาญาติๆ ผู้นำท้องถิ่น และชาวบ้านมาร่วมงานกว่า 100 คน หลังพระสวดพระอภิธรรมศพ ได้มีญาติของผู้เสียชีวิตจับไมค์ประกาศต่อหน้าแขกเหรื่อว่า ทางพ่อแม่และญาติของนางสาวนนทิญาผู้ตายจะบำเพ็ญกุศลศพโดยไม่มีกำหนดเผา เพื่อรอความเป็นธรรมให้กับผู้ตาย เนื่องจากคดียังไม่มีความชัดเจน ยังไม่มันใจการดำเนินคดีของตำรวจ และหากไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็จะนำศพไปประท้วงเรียกร้องขอความเป็นธรรมที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดและผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร ขณะที่บรรดาญาติๆและชาวบ้านต่างยกมือสนับสนุนเห็นดีด้วย


    นายเชาว์ ครัวจัตุรัส อายุ 54 ปี นางสมศรี ครัวจัตุรัส อายุ 51 ปี พ่อแม่ของ นางสาวมนทิญา หรือ “หมอปอ” กล่าวว่า ครอบครัวตนยังไม่มั่นใจเกี่ยวกับการดำเนินคดีของเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะผู้หญิงที่เป็นกิ๊กของนายรณชัย หรือเก่ง ปานชาติ ว่าที่ลูกเขย ซึ่งมีพฤติกรรมร่วมกันกระทำความผิดรู้เห็นตั้งแต่เตรียมการ และยังเป็นคนขับรถเก๋งคันของตนเองไปส่งและรับนายรณชัยก่อนเกิดเหตุและหลังกิดเหตุพาหลบหนีแล้วนำของกลางบางส่วนไปทิ้งลงลำคลอง เพราะนายรณชัยไม่มีรถยนต์และขับไม่ชำนาญ อีกทั้งตนรู้ดีว่านายรณชัยเป็นคนหัวอ่อน จะต้องมีคนชักนำหรือกดดันให้ก่อเหตุ



    ที่มา: banmuang

    Sunday, December 17, 2017

    แม่แซ่บมาก "ลูกเกด เมทินี" แปลงกายเป็นแดนซ์ซิงควีน

    By: news media On: 5:44 PM
  • Share The Gag
  • ปิดฉากลงไปเรียบร้อยกับคอนเสิร์ตสุดอึกทึกท้ายปีนี้ "J DNA X-Treme" ของคุณพ่อลูกชายหล่อ "เจ เจตริน" ที่จัดเต็มแบบไม่ยั้งถึง 2 รอบ ทิ้งเอาไว้ด้วยภาพความประทับใจและเต้นลืมเหนื่อยกันแทบทุกเพลง แต่งานนี้ยังมีศิลปินเป็นแขกรับเชิญพิเศษ ที่ออกมาแย่งซีนได้อยู่ไม่น้อย หนึ่งในนั้นก็คือ "ลูกเกด เมทินี" ที่พกพาความเป็นแม่สายแดนซ์ขึ้นบนเวที

    ภาพลักษณ์แบบนี้ของ คุณแม่ลูกเกด ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก ปล่อยลีลาสุดเหวี่ยง เต้นเซ็กซี่ไม่ต่างกับแดนซ์ซิงควันมือโปรฯ โชว์ลีลาเลื้อยวาดลวดลายการเต้นแบบไม่เป็นรองใคร แทบไม่เชื่อเลยว่า คุณแม่เพิ่งจะซ้อมมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ และยังพาบรรดาลูกสาวและลูกชายจาก The Face Thailand มาเป็นสมุนตัวลูกเซ็กซี่ไม่แพ้แม่อีกหลายคน บอกเลยว่า...แม่ก็คือแม่




    ที่มา:  sanook

    หนุ่มบินไกลข้ามประเทศ ทิ้งเมียไปหากิ๊กที่เจอออนไลน์ สุดท้ายเงิบหนัก เจอดีเข้าจัง ๆ

    By: news media On: 5:39 PM
  • Share The Gag



  •           หนุ่มลงทุนเดินทางข้ามประเทศ ทิ้งเมียไปหากิ๊กที่เจอกันทางออนไลน์ สุดท้ายเงิบหนัก เพราะไม่เจอกิ๊ก แต่เจอผัวของกิ๊กแทน ผัวกิ๊กโกรธจัด ลากไปรุมสกรัมเละเทะ

              นายหลิว คือชายหนุ่มชาวจีนคนหนึ่งซึ่งแต่งงานมีครอบครัวแล้ว แต่เขาก็ได้เอาใจห่างเหินจากภรรยา แอบไปสร้างความสัมพันธ์ลับ ๆ กับ นางต้วน หญิงสาวที่รู้จักกันผ่านทางเว็บหาคู่ออนไลน์ ต้วนเองก็เหมือน ๆ กับหลิว เธอเองก็แต่งงานมีสามีแล้ว แต่ก็หาเวลามาส่งข้อความกุ๊กกิ๊กอยู่กับเขา และหลังจากแชทส่งคำหวานกันมาระยะหนึ่ง หลิวก็คิดว่าถึงเวลาต้องพบกับต้วนแบบตัวเป็น ๆ เสียที เขาจึงตัดสินใจคว้ากระเป๋าออกจากบ้าน ผละจากภรรยาไปโดยไม่บอกไม่กล่าว และเดินทางข้ามประเทศ เป็นระยะทางกว่า 1,000 กิโลเมตร เพื่อไปหาต้วน แต่เหตุการณ์ทุกอย่าง กลับไม่เป็นไปอย่างที่เขาคิด
    หนุ่มมีกิ๊ก
              โดยจากการรายงานของเว็บไซต์เดลี่เมล เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2560 ระบุว่า หลังจากที่หลิวเดินทางออกจากมณฑลอู่ฮั่น ลงมาถึงเมืองฝูหยวน มณฑลยูนนาน ทางตอนใต้ของประเทศจีน แล้วนั้น แทนที่หลิวจะได้พบกับต้วนดังที่หวัง เขากลับต้องช็อกอย่างมาก เพราะคนที่รอคอยเขาอยู่ไม่ใช่ต้วน แต่เป็นสามีของเธอ สามีของต้วนโกรธแค้นหลิวมาก เขาและเพื่อน ๆ ได้ลากหลิวออกไปข้างถนน และจัดการลงโทษ เพื่อประจานให้สังคมได้รับรู้

              สามีของต้วนและพวก ไม่ได้รุมกระทืบหลิวให้ตาย แต่พวกเขาต้องการทรมานให้เจ็บปวด โดยผลัดกันใช้เข็มขัดและแส้ กระหน่ำฟาดไปที่ตัวของหลิว ซึ่งยืนไร้เรี่ยวแรงอยู่ข้าง ๆ ต้นไม้ ท่ามกลางสายตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา ซึ่งระหว่างการรุมฟาดนี้ นางต้วน ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย

    หนุ่มมีกิ๊ก

    หนุ่มมีกิ๊ก

              ทั้งนี้เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากสามีของนางต้วนเกิดไปพบเข้าพอดี ว่าทั้งคู่แอบนัดเจอกัน จึงจัดการซ้อนแผนดัดหลังคนที่รึมาเป็นชู้ โดยไม่มีรายงานเพิ่่มเติมว่า หลิวถูกทำร้ายอยู่แบบนั้นนานแค่ไหน และมีการแจ้งความดำเนินคดีกันหรือไม่



    ที่มา:  kapook