โดยเฉพาะตัวผู้ลงมือคือ “เปรี้ยว” หรือ ปรียานุช โนนวังชัย ที่นอกจากจะสวยโดดเด้งไปทุกสัดส่วนแล้ว การใช้ชีวิตของเธอผู้นี้นั้นอาจใช้คำว่า “เปรี้ยวเยี่ยวราด” เหมือนกับชื่อเล่นเลยก็ว่าได้
ขณะเดียวกันคดีดังกล่าว ทำไปทำมายังทำท่าว่าจะไปเชื่อมโยงกับ “ขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ” อย่าง “กลุ่มว้าแดง” ซึ่งนั่นทำให้เรื่องเต็มไปด้วยความซับซ้อนซ้อนเงื่อนภายหลังการหายตัวไปของฆาตกรอย่างมีเงื่อนงำ
ยิ่งเมื่อตรวจพบว่า “ร้านโอโซน สปา แอนด์ คาราโอเกะ” เมืองท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา สถานที่ที่ผู้ต้องหาหลบหนีมากบดานซึ่งอยู่ห่างจากพรมแดนแม่สายประมาณ 4 กิโลเมตรนั้น เคยบริหารงานโดยกลุ่มว้าแดงก่อนที่จะปล่อยให้เช่าช่วงโดยคนไทยด้วยแล้ว ก็ยิ่งน่าสงสัย
คดีอึ๋มประหารคดีนี้จึงไม่ธรรมดาด้วยประการทั้งปวง....
จุดเริ่มต้นของคดีเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2560 เมื่อชาวบ้านโนนสง่า ม.9 ต.คำม่วง อ.เขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น พบศพร่องรอยการฝังกลบก่อนพบศพผู้หญิงไม่ทราบชื่อ ลักษณะถูกฆ่าหั่นชิ้นส่วนร่างเป็น 2 ท่อน ยัดใส่ถุงและถังดำไปขุดหลุมฝังไว้ ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสืบสวนและทราบว่าผู้เสียชีวิตคือ วาริสรา กลิ่นจุ้ย หรือน้องแอ๋ม อายุ 22ปี ลักษณะเป็นหญิงสาวหน้าตาดี ทำงานอยู่ร้านคาราโอเกะในอีสานพื้นที่ จ.ขอนแก่น
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งแรงจูงใจในการก่อเหตุไว้ 4 ประเด็น คือ “ชู้สาว ความขัดแย้งส่วนตัว ยาเสพติดและฆ่าชิงทรัพย์”
พ.ต.อ.พงศ์ฤทธิ์ คงศิริสมบัติ ผู้บังคับการสืบสวน 3 กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 4 ให้ข้อมูลว่า เจ้าหน้าที่เริ่มสืบในประเด็นแรก “ชู้สาว” มีการเรียกสอบปากคำ เพื่อนทอมคนสนิท ญาติ และสามีของผู้เสียชีวิต รวม 9 ปาก เพื่อทำการเชื่อมโยงแรงจูงใจในการฆ่าผู้ตายว่ามาจากสาเหตุเรื่องชู้สาวใช่หรือไม่ ซึ่งจากการสอบสวนผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่พบพิรุธหรือความเกี่ยวข้องที่นำไปสู่การฆ่าใดๆ
เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าหน้าที่จึงเริ่มสืบสวนในประเด็นที่ 2 “ความขัดแย้งส่วนตัว” พบว่าผู้เสียชีวิตมีความขัดแย้งกับกลุ่มของ “เปรี้ยว” หรือ ปรียานุช โนนวังชัย ในเรื่องคดียาเสพติด เมื่อปี 2559 ประกอบกับมีสายข่าวรายงานตั้งแต่ต้นว่ามีปมความขัดแย้งส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย รวมทั้งเร่งสืบสวนขยายผลในประเด็นอื่น “ฆ่าชิงทรัพย์” ด้วยเพราะผู้เสียชีวิตทำงานกลางคืนจึงมีความเป็นไปได้ว่าอาจโดนฆ่าชิงทรัพย์
จนพบเบาะแสสำคัญนำสู่ “กุญแจไขคดี” มีข้อมูลทราบสาเหตุแน่ชัดว่า “ปมสังหาร” อย่างโหดเหี้ยมในครั้งนี้เกี่ยวพันธ์กับเรื่อง “ยาเสพติด” และ “ความขัดแย้งส่วนตัว” ประกอบกับผู้เสียชีวิตมีประวัติข้องเกี่ยวกับยาเสพติด เจ้าหน้าที่จึงเร่งสืบขยายผลหาเบาะแสจากคู่ขัดแย้ง
กระทั่ง ทราบในเวลาต่อมาว่ามีผู้ร่วมก่อเหตุ 5 คน ประกอบด้วย “เปรี้ยว” น.ส.ปรียานุช โนนวังชัย, “แจ้” น.ส.อภิวันทน์ สัตยบัณฑิต, “เอิร์น” น.ส.กวิตา ราชดา, “เบนซ์หรืออ้อม” น.ส.จิดารัตน์ พรมคุณ และ “วิน” นายวศิน นามพรหม
แต่ผู้ต้องหาได้หลบหนี เจ้าหน้าที่จึงได้ออกหมายจับและจัดชุดเจ้าหน้าที่ออกติดตามตัว
ทั้งนี้ จากผลชันสูตรพลิกศพ พบว่า น้องแอ๋ม ถูกฆ่าโดยการบีบคอตายในรถก่อนนำศพไปเชือดทำลายหลักฐาน ซึ่งเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งข้อหาผู้ต้องหาทั้ง 5 คน ในข้อหา “ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและปิดบังซ่อนเร้นอำพรางศพ”
ต่อมาเมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2560 ตำรวจ บก.สส.ภ.4 ประสานตำรวจ สปป.ลาว บุกจับกุม นายวศิน นามพรหม ผู้ต้องหาในคดีฆ่าหั่นศพ บริเวณเกสต์เฮ้าส์แห่งหนึ่งใกล้มหาวิทยาลัยแห่งชาติลาว แขวงนครหลวงเวียงจันทน์ ซึ่งนายวศินให้การเบื้องต้นว่ารู้เห็นกับการฆาตกรรมจริง โดยซัดทอดชัดเจนว่า “เปรี้ยว” เป็นผู้ลงมือฆ่าเพียงลำพังและทำลายศพ
“นายวศินให้การว่า ก่อนเกิดเหตุทั้ง 4 คน ได้นั่งดื่มสุรา และให้การเป็นผู้ขับรถยนต์ให้กับผู้ต้องหาอีก 4 คน โดยไปรับผู้ตายขึ้นรถในช่วง 05.00 น. ของวันที่ 23 พ.ค. 2560 และยอมรับว่าเป็นคนขับรถพา 1 ในผู้ต้องหาไปซื้อเลื่อย และอุปกรณ์ในการหั่นและอำพรางศพ ช่วยเพื่อนห่อชิ้นส่วนของผู้ตาย รวมทั้งยกและนำร่างของผู้ตายที่ถูกยัดใส่ถังดำไปขุดหลุมฝัง แต่ให้การว่าไม่ได้เป็นคนร่วมลงมือหั่นร่างของผู้ตาย โดยในช่วงที่นางสาวเปรี้ยวทำการหั่นร่างผู้ตาย นายวศินได้ออกมาสูบบุหรี่อยู่ข้างนอกรีสอร์ทที่ใช้เป็นสถานที่หั่นศพ ซึ่งเบื้องต้นทราบว่า หลังจากกลุ่มผู้ก่อเหตุนำร่างของผู้ตายมาที่รีสอร์ท ได้เริ่มหั่นศพในช่วงหลัง 08.00 น. ของวันที่ 23 พ.ค.2560 เพราะต้องไปหาอุปกรณ์ก่อน แต่อย่างไรก็ตามเรายังไม่ปักใจเชื่อคำให้การของผู้ต้องหา เพราะต้องยึดหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์เป็นหลัก เช่น ใครบ้างที่นั่งไปในรถในวันเกิดเหตุ ภาพจากกล้องวงจรปิด และหลักฐานอื่นๆ" พ.ต.อ.พงศ์ฤทธิ์อธิบาย
ขณะที่ผู้ต้องหาอีกราย “เบนซ์” น.ส.จิดารัตน์ พรมคุณ ได้เข้ามอบตัวและให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า วันเกิดเหตุตนเองไม่ได้อยู่ในรถคันก่อเหตุ ซึ่งตรงกับคำให้การของนายวศิน โดยในวันเกิดเหตุเธออยู่ที่กรุงเทพฯ ย่านรามอินทรา เพียงถูกไหว้วานจากผู้ต้องหาหลังก่อเหตุให้นำโทรศัพท์มือถือของผู้เสียชีวิตไปขายที่ห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่งย่านรามอินทรา ในราคา 3,500 บาท ก่อนได้รับการประกันตัวเนื่องจากไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆ่า และให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี
“จากการสอบสวน นายวศิน ให้การว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเกิดจากการฝีมือ น.ส.ปรียานุชเพราะทั้งสองคนมีเรื่องบาดหมางกันด้วยความแค้นส่วนตัว เนื่องจาก น.ส. เปรี้ยวเข้าใจว่า ผู้ตาย เอาความลับของตนเองและแฟนหนุ่มไปแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ จนทำให้แฟนของเปรี้ยวถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองขอนแก่น จับกุมในคดียาเสพติด จึงมีการล่อลวง ผู้ตายมาขึ้นรถซีอาร์วี ที่ น.ส.เปรี้ยวไปเช่ามา และทำการก่อเหตุฆาตกรรมดังกล่าว”
นายวศิน ผู้ต้องหาร่วมฆ่าหั่นศพรับสารภาพหมดเปลือก ถูกควบคุมตัวทำแผนประกอบคำรับสารภาพ จำนวน 5 จุด
จุดแรก ห้องพักเลขที่ เอ4 รีสอร์ทชื่อดังแห่งหนึ่ง ภายในเขตเทศบาลนครขอนแก่น ซึ่งเป็นสถานที่ที่ผู้ต้องหาทั้งหมดร่วมกันหั่นศพน้องแอ๋ม ออกเป็น 2 ท่อน และบรรจุไว้ในถุงพลาสติกก่อนยัดใส่ถังดำและนำศพไปทิ้ง
จุดที่ 2 ร้านสะดวกซื้อ แห่งหนึ่งบริเวณติดกับโรเรียนเทศบาลบ้านโนนทัน ซึ่งเป็นสถานที่ที่ผู้ต้องหาซื้อถุงพลาสติก
จุดที่ 3 ที่ร้านโนนทันกันเอง สถานที่ที่ผู้ต้องหาซื้อเลื่อยคันธนู, ถังพลาสติก, ปูนซีเมนต์ และเสียม
จุดที่ 4 บริเวณสามแยกริมถนนเหล่านาดีตัดถนนหน้าเมือง ใกล้กับโรงเรียนเทศบาลวัดกลาง สถานที่ที่ผู้ต้องหาไปรับผู้ตาย
จุดที่ 5 ที่ร้านอาหารลาบลอฟท์ ถ.รื่นรมย์ สถานที่ที่ผู้ต้องหานั่งรับประทานอาหารร่วมกันทั้ง 4 คน ประกอบไปด้วย น.ส.ปรียานุช น.ส.อภิวันทน์ น.ส.กวิตา และนายวศินเพื่อวางแผนก่อนไปรับผู้ตาย
ขณะที่ น.ส.ประภาศิริ สมศรี พี่สาวของเปรี้ยว ผู้ต้องหาคดีฆ่าหั่นศพ เข้าให้ปากคำกับ พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย ผกก.สภ.เขาสวนกวาง หลังจากน้องสาวตกเป็นผู้ต้องหาว่า น้องสาวได้โทรศัพท์มาหาในช่วงประมาณ 23.00 น. ของวันที่ 29 พ.ค. 2560 ยอมรับว่าตนเองได้ทำพลาดไปแล้ว
เปรี้ยวเปิดปากสารภาพว่าตนเองและเพื่อนได้ฆ่าคนตาย จากความตั้งใจแรกต้องการลวง “น้องแอ๋ม” ไปทำร้ายตบตีให้หนำใจให้หายแค้น เพราะถูกหักหลังที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด เพราะไปชี้เป้าให้ตำรวจจับกุมคนรักของเปรี้ยวติดคุก แต่พอทั้งสองเผชิญหน้ากันความโกรธเค้นกลับทวีความรุนแรง เปรี้ยวจึงพลั้งมือฆ่าน้องแอ๋ม
“เขาบอกว่า ครั้งแรกเขาใช้มือตีเข้าที่ใบหน้าของผู้ตายก่อนจนผู้ตายเกือบสลบลงไป ก่อนที่ผู้ตายจะฮึดสู้และพูดว่า ถ้ากูไม่ตาย มึงก็ตาย น้องจึงบันดาลโทสะ มือที่บีบคออยู่แล้วจึงยิ่งบีบแน่นขึ้นๆ จนน้องแอ๋มตายคามือ โดยในช่วงเกิดเหตุ มีคนอยู่ด้วยกันทั้งหมด 4 คน ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกออกหมายจับ และเจ้าหน้าที่กำลังติดตามจับกุมตัว”พี่สาวเปรี้ยวเล่าเหตุการณ์และบอกด้วยว่า น้องสาวอยากเข้ามอบตัวเพราะรู้ว่าทำผิดไปแล้ว แต่ตอนนี้ขอเวลาทำใจก่อน จึงจะเข้ามอบตัวกับตำรวจ โดยจะให้การในชั้นสอบสวนเท่านั้น"
จากการตรวจสอบข้อมูลเฟซบุ๊กส่วนตัวของเปรี้ยวที่ใช้ชื่อว่า “เปรี้ยว แสนดี สวยสามจี อัปปีทั้งชาติ” พบว่า เปรี้ยวมีไลฟ์สไตล์อู้ฟู่หรูหรา ชอปปิ้งของแบรนด์เนม เข้าออกกาสิโนบ่อยครั้ง ชอบโพสต์ภาพโชว์เงินสดจำนวนมาก จนชาวเน็ตเกิดคำถามถึงเส้นทางการเงิน ซึ่งสนับสนุนข้อสันนิษฐานที่ว่ามีความเกี่ยวพันกับสิ่งผิดกฎหมาย
รวมทั้ง รสนิยมคลั่งความรุนแรง เพราะมักมีการโพสต์ภาพขณะที่สวมใส่เสื้อลาย “ชัคกี้” หรือตุ๊กตาผีฆ่าหั่นศพในภาพยนตร์สยองขวัญชื่อดัง มีการเปลี่ยนภาพปกบนเฟซบุ๊กในวันก่อเหตุฆาตกรรม การโพสต์ข้อความที่มีรุนแรง และที่น่าตกใจไปกว่านั้น หลังแก๊งหั่นศพร่วมกันอำพรางคดี วันรุ่งขึ้นยังมีร่วมเดินทางไปวัดทำบุญอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้เสียชีวิตด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม โดยไม่สำนึกถึงความผิดที่พวกตนร่วมกันก่อแต่อย่างใด
ความคืบหน้าล่าสุด 31 พ.ค. 2560 ล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบทราบว่า แก๊งสวยสังหารอีก 3 คน ที่หนีการจับกุม ประกอบด้วย “เปรี้ยว แจ้และเอิร์น” ผู้ต้องหาในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้โดยเจตนาและปิดบังซ่อนเร้นทำลายศพ หลบหนีอยู่ในประเทศเมียนมา ตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค. 2560 โดยกบดานในคาราโอเกะชื่อว่า โอโซน สปา แอนด์ คาราโอเกะ ตั้งห่างจากชายแดน 6 กม. ใน จ.ท่าขี้เหล็ก ตรงกันข้าม อ.แม่สาย จ.เชียงราย
พ.ต.ท.เท่น วิน ผกก.สถานีตำรวจ จ.ท่าขี้เหล็ก พร้อมกำลัง 15 นาย ได้เข้าตรวจสอบภายในร้านโอโซน สปา แอนด์ คาราโอเกะ ซึ่งเป็นจุดที่ถูกระบุว่าทั้ง 3 คน อาจหนีมากบดานเพื่อทำงานที่นี่แต่ไม่พบตัว จึงเชิญตัวผู้จัดการร้าน พร้อมกับพนักงานสาวของร้าน ประมาณ 8 คน ไปสอบสวนเพื่อหาเบาะแสของผู้ต้องหาทั้ง 3 คน
เบื้องต้นพนักงานทั้งหมดให้การตรงกันว่าพบเห็นทั้ง 3 คน เข้ามาพักที่ห้องพักภายในร้านตั้งแต่ช่วงกลางคืนของวันที่ 25 พ.ค. และอยู่จนถึงช่วงเช้าวันที่ 28 พ.ค. จากนั้นช่วงบ่ายทั้งหมดก็ได้หายตัวไปโดยไม่ทราบว่าไปอยู่พื้นที่ใด
หมายความว่าพวกหล่อนทั้ง 3 คน ยังคงสามารถหลบการเข้าจับกุมของตำรวจเมียนมา ที่ทางการไทยได้การประสานให้เข้าไปควบคุมตัว ซึ่งเจ้าหน้าที่เมียนมาอยู่ระหว่างการตรวจสอบเส้นทางหลบหนี และที่น่าจับตาเป็นพิเศษ แก๊งสาวฆ่าหั่นศพ เปิดทางผ่านแดนด้วยบัตรผ่านแดนชั่วคราว ออกจากชายแดนโดยนั่งอยู่บนรถยนต์ที่ปิดกระจกไว้อย่างมิดชิด มีผู้นำเอกสารออกมายื่นให้เจ้าหน้าที่ที่ด่านพรมแดนแทน
ด้าน พ.ต.อ.เอกกร บุษบาบดินทร์ ผกก.ตม.เชียงราย กล่าวว่า ในช่วงที่ทั้งหมดทำบอเดอร์พาสออกไปยังไม่มีการออกหมายจับทำให้ระบบไม่แจ้งเตือนต่อบุคคลดังกล่าว ซึ่งตอนนี้มีหมายจับระบบได้ออนไลน์ไปทั่วทุกด่านพรมแดนแล้ว หากพบตัวก็จะมีการจับกุมดำเนินคดีได้ตามกฎหมายทันที
“เนื่องจากผู้ต้องหาได้เดินทางออกไปในวันที่ 25 พ.ค. และมีอายุอยู่ในประเทศเมียนมาได้ 7 วัน ดังนั้นหากพ้นเวลาก็ถือว่าเป็นผู้ที่ไม่กลับประเทศโดยไม่มีเอกสารรองรับ ล่าสุดได้รับแจ้งจากทาง ตม.เมียนมา ว่าหากพ้นเวลาจะสามารถจับกุมได้โดยไม่ต้องอาศัยการประสานให้จับกุมตามข้อหาที่มีในประเทศไทยได้โดยทันทีต่อไป”
อย่างไรก็ตาม นายศิรินทร์ยา สิทธิชัย เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) กล่าวว่า ในส่วนของ ป.ป.ส. นั้น จากการตรวจสอบประวัติของเปรี้ยวกับพรรคพวกพบว่ามีประวัติเกี่ยวพันธ์กับยาเสพติด เป็นทั้ง “ผู้เสพ” และ “ผู้ค้า”
ขณะที่ น้องแอ๋ม ผู้เสียชีวิต ป.ป.ส. ตรวจพบว่าประวัติการใช้ยาเสพติดเช่นกัน รวมทั้ง เคยเป็นเพื่อนที่เคยทำงานกับกลุ่มผู้ต้องหาด้วย
ทั้งยังสืบทราบว่า เปรี้ยวเป็นผู้ค้ารายย่อยและมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ใน จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา เป็นคนนำยาเสพติดเข้ามาขายในพื้นที่ให้กับกลุ่มเพื่อนที่ทำงานกลางคืนด้วยกัน ซึ่งกำลังขยายผลจับกุมตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย
ขณะที่ร้านคาราโอเกะในเมียนมาที่แก๊งอึ๋มประหารหนีไปกบดานนั้น เดิมชื่อ “สตาร์แทรค คาราโอเกะ” บริหารงานโดยกลุ่มว้าแดงกลุ่มค้ายาเสพติดใหญ่ในอาเซียน แต่ต่อมาประสบปัญหาขาดทุน จึงมีการปล่อยเช่ามีคนไทยเข้าไปเช่าทำมาตั้งแต่เดือน ม.ค. 2560 ในราคาเดือนละประมาณ 180,000 บาท และเปลี่ยนชื่อเป็น “โอโซน สปา แอนด์ คาราโอเกะ” พร้อมนำสาวสาวจากเมืองไทยเข้าไปเป็นพนักงาน ซึ่งก็รวมทั้ง “เปรี้ยว แจ้และเอิร์น” เข้ามาทำงานที่ร้านจนเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีด้วย
เรียกว่า ยิ่งสืบสาวยิ่งพบว่า เปรี้ยว ฆาตกรหั่นศพ มีประวัติและแบ็กอัปที่ไม่ธรรมดา รายงานข่าวเปิดเผยว่า เปรี้ยวเป็นที่รู้จักกันดีในกลุ่มนักเที่ยวและคนรวยในพื้นที่ท่าขี้เหล็ก
มีการตั้งข้อสังเกตต่อไปว่า เหตุใดแก๊งสาวฆ่าหั่นศพ ถึงหลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่เมียนมาได้อย่างเฉียดฉิว เป็นไปได้หรือไม่ว่างานนี้มีคนคอยส่งข่าว เพราะการจับกุมพวกหล่อนทั้ง 3 คน นอกจากในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้โดยเจตนาและปิดบังซ่อนเร้นทำลายศพ จะถูกขยายผลในคดียาเสพติดเกี่ยวโยงคนระดับบิ๊ก เชื่อมโยงแก๊งยาเสพติดข้ามชาติ
เบื้องหลังการหายเข้ากลีบเมฆของ “เปรี้ยว แจ้ และเอิร์น” ในประเทศเมียนมายังคงเป็นปริศนา ซึ่งมีแหล่งข่าวด้านความมั่นคง แจ้งว่าทั้ง 3 คน คาดว่าหลบหนีไปอยู่ในเขตคุ้มครองของกลุ่มมูเซอ และหากเป็นเป็นเช่นนั้นจริง การประสานของเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยกับทางการฝ่ายเมียนมาในการดำเนินการติดตามจับผู้ต้องหาทั้งหมดกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะมูเซอเป็นกองกำลังอิสระมีเขตพื้นที่อิทธิพลของตัวเอง ขณะที่ทางการพม่าก็ไม่อยากย่างกรายเข้าไปยุ่ง
ขณะที่ชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 4 เปิดเผยมูลเหตุฆาตกรรมโหดน้องแอ๋ม ว่าเบื้องหลังอาจเชื่อมโยงกลุ่มขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ “สั่งฆ่าตัดตอน” เพราะน้องแอ๋มนำข้อมูลของเครือข่ายขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ และขบวนการค้ายาเสพติดในพื้นที่ จ.ขอนแก่น ไปเปิดเผยกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ จนนำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหาหลายรายในปี 2559 ซึ่งหนึ่งในนั้นมีคนรักของเปรี้ยวรวมอยู่ด้วย จึงมีความเป็นไปได้ว่าจากความไม่พอใจของขบวนการยาเสพติดฯ จนนำสู่คำสั่งฆ่าน้องแอ๋ม พร้อมทั้งมีการวางแผนเบ็ดเสร็จทุกขั้นตอนให้เปรี้ยวก่อเหตุฆ่าหั่นศพ
ถึงตรงนี้ จุดจบของฆาตกรสวยสังหาร “เปรี้ยว แจ้ และเอิร์น” ผู้ต้องหาคดีฆาตกรรมอำมหิตฆ่าศพสาวคาราโอเกะ จะดำเนินไปอย่างไร ยังคงเป็นที่น่าติดตาม เพราะหากเจ้าหล่อนเดินก้มหน้าเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม การขยายผลสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจน่าจะสะเทือนเครือข่ายยาเสพติดมิใช่น้อย ทว่า หากวิเคราะห์คำสั่งเสียของ “เปรี้ยว” ที่วิดีโอคอลถึงพี่สาว แก๊งสวยสังหารอาจเผชิญชะตากรรมไม่ต่างจาก “น้องแอ๋ม” ก็เป็นได้
ที่มา: manager
0 comments:
Post a Comment