จากกรณีที่ ‘แนวหน้า’ นำเสนอข่าวชาวบ้านในพื้นที่ ต.สำนักขาม อ.สะเดา จ.สงขลา ได้ออกมาร้องเรียนให้ภาครัฐดำเนินการตรวจสอบการทำธุรกิจของบริษัทแห่งหนึ่ง มีนักธุรกิจชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน เป็นเจ้าของ ซึ่งติดกับชายแดนประเทศมาเลเซีย ที่มีการถมลำคลอง เพื่อก่อสร้างถนนและอาคารพาณิชย์ รวมทั้งมีการนำหญิงชาวจีนนับพันคนเข้ามาขายบริการในสถานบันเทิง โดยการขอใบอนุญาตจากจัดหางานจังหวัดทำงานเป็นแม่บ้าน ซึ่งถูกตั้งข้อสงสัยจากคนในพื้นที่ว่าเป็นการขายบริการหรือไม่
ขณะที่ พล.ต.ท.ณัฐธร เพราะสุนทร ผู้บัญชาการสำนักตรวจคนเข้าเมือง(ผบช.สตม.) และ พล.ต.ต.เจษฎา ใยสุ่น ผู้บังคังการตรวจคนเข้าเมือง 6(ผบก.ตม.6) ได้ลงพื้นที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง อ.สะเดา จ.สงขลา เนื่องจากมีการรายงานข่าวในโซเซียลถึงขบวนการค้ามนุษย์ที่นำหญิงสาวชาวต่างด้าว โดยเฉพาะจากประเทศจีนเข้ามาขายบริการโดยขออนุญาตการทำงาน เป็นแม่บ้านบังหน้าและต้องจ่ายส่วยให้นายหน้าที่อ้างว่าเป็นคนของ ตม. คนละ 3,000 บาทต่อหัว จนกลายเป็นข่าวอื้อฉาว และมีการโยกย้ายเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองออกจากพื้นที่ไปแล้ว 4 นาย
หลังจากที่ พล.ต.ท.ณัฐธร เดินทางกลับปรากฏว่าผู้บริหารบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นนอมินีของนายทุนชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน คือ นายเตียว วุย ฮวด ที่ถูกทางการมาเลเซียจับกุมในข้อหาพัวพันการค้ายาเสพติด ได้สั่งการให้ย้ายหญิงชาวจีนแผ่นดินใหญ่ที่ทำหน้าที่ขายบริการในอาณาจักรบันเทิงของตนเองไปไว้ยังสถานที่นอกอาณาจักรเป็นการชั่วคราว เพื่อไม่ให้ถูกจับกุม ทำให้บรรยากาศสถานบันเทิงในเขตเทศบาลบ้านด่านนอก เต็มไปด้วยความเงียบเหงา และทำให้ย่านบันเทิงอื่นๆในตัวเมืองที่มีหญิงชาวพม่า ลาว จีนฮ่อ และอื่นๆ ขายบริการอยู่ ได้สั่งให้หญิงสาวต่างชาติทั้งหมดหยุดการทำหน้าที่ขายบริการชั่วคราว
อย่างไรก็ดี เรื่องร้องเรียนดังกล่าว สอดคล้องกับผลงานวิจัยเรื่อง ‘การค้าประเวณีหญิงจากประเทศในแถบอนุภูมิภาคลุ่ม แม่น้ำโขงในประเทศไทย’ จัดทำโดยสมาคมรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปี 2558 โดยงานวิจัยได้ระบุถึงจังหวัดกึ่งหัวเมืองท่องเที่ยว-กึ่งชายแดนของประเทศไทย เช่น จ.เชียงใหม่ จ.สงขลา เนื่องจากบางพื้นที่มีลักษณะทางภูมิศาสตร์เป็นทั้งจังหวัดหัวเมืองท่องเที่ยว และจังหวัดชายแดนเพราะนอกจากจะเป็นศูนย์กลางความเจริญและแหล่งท่องเที่ยวของภูมิภาคแล้ว ยังเป็นจังหวัดที่มีเขตแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย ส่งผลให้องคาพยพของการค้าประเวณีหญิงจากประเทศในแถบอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ในจังหวัดเหล่านี้ มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างออกไปจากจังหวัดหัวเมืองท่องเที่ยว หรือจังหวัดชายแดนตามปกติ
งานวิจัยดังกล่าวได้เก็บรวบรวมข้อมูลกลุ่มตัวอย่างจากผู้หญิงขายบริการในพื้นที่ 2 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ และสงขลา จังหวัดละ 3 คน รวม 6 คน โดย จ.เชียงใหม่ ผู้หญิงขายบริการเป็นสัญชาติเมียนมา 3 คน ส่วนสงขลา ผู้หญิงบริการเป็นชาวเมียนมา 1 คน และมีผู้หญิงขายบริการสัญชาติจีน 2 คน
งานวิจัย พบว่า การเข้าสู่วงจรของการค้าประเวณีในประเทศไทย ในส่วนของหญิงสาวสัญชาติจีน ที่พบมี 2 คน บริเวณจุดผ่านแดนด่านสะเดา อ.สะเดา จ. สงขลา ซึ่งทั้งคู่เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน การเข้าสู่วงจรการค้าประเวณีของหญิงสัญชาติจีนทั้งสอง แม้จะอยู่ในครอบครัวที่มีฐานะทางการเงินค่อนข้างดีแต่การเริ่มต้นจากการเดินทางมาหาญาติที่ จ.นครปฐม โดยหนึ่งในนั้นได้กลายไปเป็นภรรยาน้อยของชายชาวไทย ก่อนที่จะเลิกลากันไปในท้ายที่สุด จึงตัดสินใจตามน้องสาวลงมาค้าประเวณีบริเวณด่านสะเดา เนื่องจากกลุ่มลูกค้าเป็นชาวมาเลย์เชื้อสายจีน ซึ่งสื่อสารภาษาจีนได้ จึงไม่เกิดปัญหาในเรื่องของการสื่อสาร
งานวิจัย ยังระบุอีกว่า ลักษณะของการค้าประเวณีในจังหวัดกึ่งหัวเมืองท่องเที่ยว-กึ่งชายแดน เป็นการผสมผสานระหว่างลักษณะของการค้าประเวณีที่เกิดขึ้นในจังหวัดหัวเมืองท่องเที่ยว ได้แก่ อาบอบนวด และจังหวัดชายแดน ได้แก่ คาราโอเกะ
ทั้งนี้เนื่องจากลักษะทางภูมิศาสตร์ ซึ่งผูกพันกับลักษณะและความต้องการของผู้คนที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าว โดยอาบอบนวด มีเพียงหญิงสัญชาติเมียนมา เชื้อสายไทใหญ่ 1 คนเท่านั้น พบในกรณีนี้ว่า ค้าประเวณีในลักษณะอาบอบนวด โดยพบอยู่บริเวณเทศบาลนครเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ ทั้งนี้ มีหญิงที่ขายบริการทางเพศราวกึ่งหนึ่งของสถานประกอบการนี้ ซึ่งเป็นหญิงสัญชาติเมียนมา เชื้อสายไทใหญ่
ส่วนร้านคาราโอเกะ ส่วนใหญ่ของหญิงทั้งจากจีนและจากเมียนมา กล่าวคือ 5 ใน 6 คน ในจังหวัดกึ่งหัวเมืองท่องเที่ยวและ กึ่งชายแดน ค้าประเวณีในลักษณะของร้านคาราโอเกะทั้งสิ้น
ทว่า...ความแตกต่างระหว่างคาราโอเกะระหว่าง จ.เชียงใหม่ และ จ.สงขลา ประกอบสาระสำคัญ คือ ในกรณีของเชียงใหม่จะคล้ายกับ จ.เลย และตาก คือ มีโทรทัศน์เพียงเครื่องเดียว เนื่องจากเน้นการขายบริการทางเพศเป็นหลัก สถานประกอบการจะแยกออกจากที่พัก เมื่อมีการตกลงซื้อขายบริการทางเพศกันแล้ว แขกและหญิงผู้ขายบริการทางเพศจะเดินทางไปยังที่พัก โดยจะต้องชำระเงินให้กับพนักงานที่พาหญิงนั้นไปส่งทันที
ขณะที่จ.สงขลา จะมีลักษณะคล้ายกับ จ.สุรินทร์ คือ เน้นการบริการในร้านคาราโอเกะด้วย ทั้งนี้ สถานประกอบการลักษณะนี้ของชาวจีนจะรับแต่แขกชาวมาเลย์เชื้อสายจีนเท่านั้น โดยแทบจะไม่รับแขกชาวไทยเลย
งานวิจัยนี้ยังได้ทำการสำรวจในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและเขตพื้นที่ติดต่อ ทั้งนี้ได้มีการสอบถามข้อมูลกลุ่มตัวอย่างที่เป็นคนสำคัญรวม 18 คน ประกอบด้วยกลุ่มผู้เกี่ยวข้องจากประเทศจีน เป็นหญิงผู้ค้าประเวณีในสถานบริการประเภทอาบอบนวด 2 คน และเป็นหญิงผู้ให้บริการในสถานบริการประเภทผับบาร์ โดยมีการค้าประเวณีแอบแฝง 1 คน นอกนั้นจะเป็นหญิงจากประเทศในแถบอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงในประเทศไทย เช่น หญิงชาวเวียดนาม เมียนมาร์ ลาว กัมพูชา ที่เข้ามาค้าประเวณีในรูปแบบต่างๆ
งานวิจัยยังได้นำเสนอผลการสัมภาษณ์หญิงจากประเทศ ในแถบอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการค้าประเวณีในเขตกรุงเทพมหานคร และเขตพื้นที่ติดต่อ โดยแบ่งเป็นหญิงสัญชาติจีน เวียดนาม เมียนมาร์ ลาว กัมพูชา โดยเฉพาะหญิงสัญชาติจีน
ผู้วิจัยได้สัมภาษณ์หญิงผู้ค้าประเวณีสถานบริการประเภทอาบอบนวดจำนวน 2 คน และหญิงผู้ให้บริการในสถานบริการประเภทผับบาร์ โดยมีการค้าประเวณีแอบแฝง จำนวน 1 คน โดยหญิงจากประเทศจีนคนที่ 1 พบว่า เป็นหญิงชาวจีนที่เดินทางมาจากยูนนาน มาทำงานในสถานบริการอาบอบนวดย่านพระราม 9 เป็นเวลา 5 เดือนแล้ว
สาเหตุที่ผลักดันให้เขาเดินทางมาทำงานในลักษณะนี้ เนื่องจากสภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวที่มีรายได้ต่ำ ประกอบกับมีพี่สาวที่เดินทางมาทำลักษณะนี้ในประเทศไทยกว่า 8 ปี แล้ว จึงได้เดินทางตามพี่สาวมา
หญิงจากประเทศจีนคนที่ 1 กล่าวถึงสภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวและสาเหตุที่เข้ามาค้าประเวณีในประเทศไทยว่า ‘ที่บ้าน (ยูนนาน) ทำสวนยาง มีต้นยางอยู่ประมาณ 100 ต้น มีพ่อกับแม่ช่วยกันทำงาน กรีดยาง ครั้งหนึ่งจะได้เงินประมาณ 1,000 บาทไทย ซึ่งน้อยมาก ไม่พอใช้ หนูก็ช่วยที่บ้านทำงาน แต่มันเหนื่อย ร้อน เวลานอนก็ไม่เป็นปกติ พอดีพี่สาวมาทำงานได้ 8 ปีแล้ว ที่ไทย ก็เลยตามพี่สาวมา’
โดยหญิงจากประเทศจีนคนที่ 1 จบการศึกษาระดับชั้น ม. 6 และไม่ได้ศึกษาต่อ จากนั้นช่วยงานที่บ้าน ตามปกติ เมื่อทราบจากพี่สาวว่า มาทำงานลักษณะนี้ที่กรุงเทพฯ มีรายได้ดี และสามารถส่งกลับไปช่วยเหลือที่บ้านได้ จึงอาสาที่จะมาทำงานด้วย โดยมารดาทราบถึงการมาทำงานลักษณะนี้ของตนและพี่สาวเป็นอย่างดี แต่บิดาไม่ทราบ ทราบแต่เพียงว่ามาทำงานในประเทศไทยเท่านั้น
หญิงจากประเทศจีนคนที่ 1 กล่าวว่า การเปิดให้บริการลักษณะนี้ทำได้ยากมากในยูนนาน เนื่องจากมีการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดมากจึงทำให้ไม่สามารถประกอบอาชีพ ลักษณะนี้ได้ในประเทศจีน
นอกจากนี้สาเหตุที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ นอกจากจะเป็นเพราะการที่มีพี่สาว ทำงานอยู่แล้วคือการกลัวการติดโรค หญิงจากประเทศจีนคนที่ 1ยังกล่าวถึงสาเหตุที่มีค้าประเวณีในกรุงเทพ โดยไม่เลือกที่จะทำที่บ้านหรือที่อื่นว่า ‘ทำที่บ้านทำไม่ได้อยู่แล้ว ไม่มีที่ให้ทำ แล้วก็ไม่อยากให้ใครรู้ด้วยแต่หนูเคยจะทำที่แม่สายนะแต่มีเพื่อนคนหนึ่งไปทำแล้วติดโรค เป็นเอดส์ก็เลยกลัว เลยมากรุงเทพฯดีกว่าพี่สาวบอกปลอดภัยกว่า’
หญิงจากประเทศจีนคนที่ 1 กล่าวว่า มาทำงานที่นี่มีค่าตัวครั้งละ 2,800 บาท โดยทางร้านจะแบ่งให้เป็นจำนวนเงิน 1,400 บาท เท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามด้วยระยะเวลาเพียง 5 เดือน สามารถส่งเงินให้ทางบ้านได้กว่า 1 แสนบาทไทยแล้ว ส่วนการเดินทางมายังกรุงเทพฯที่กล่าวถึงเส้นทางของสาวจีนที่ให้บริการประเภทนี้พบว่า อาศัยการเดินทางเข้ามาทางภาคเหนือของไทย โดยเฉพาะในจ.เชียงราย จากนั้นจึงเดินทางด้วยรถตู้มายังกรุงเทพฯ
สำหรับหญิงจากประเทศจีนคนที่ 2 พบว่า เดินทางมาประเทศไทยเป็นเวลากว่า 2 ปีแล้ว โดยเดินทางมาจาก 12 ปันนา ด้วยเครื่องบินไปยังคุนหมิง แล้วจึงต่อเครื่องมาที่กรุงเทพฯ หญิงคนที่ 2 พูดภาษาไทยได้ชัดเจนกว่าหญิงจีนคนแรก โดยสาเหตุที่เดินทางเข้ามานั้น เพราะเพื่อนที่ทำอยู่ก่อนที่นี่ บอกเล่าว่า สามารถหารายได้ได้มากกว่า 1 แสนบาทไทยต่อเดือน หญิงจากประเทศจีนคนที่ 2 นั้นมีฐานะทางบ้านค่อนข้างร่ำรวย โดยครอบครัวเปิดร้านขายทองอยู่ที่ประเทศจีน เดิมก่อนที่จะเดินทางมายังประเทศไทย ตนช่วยทางบ้านได้ค่าจ้างเป็นเงินเดือนเดือนละประมาณ 25,000 บาท ไทย แต่ตนรู้สึกว่าไม่เพียงพอประกอบกับเชื่อว่าเดินทางมายังประเทศไทยแล้วจะสามารถหาเงินจำนวน มากขนาดนั้นได้จริงๆ
‘ตอนปีแรกที่มาหนูได้เดือนเป็นแสนจริงๆ นะ แต่ปีที่สอง จนถึงตอนนี้เหลือประมาณ 4-5 หมื่นต่อเดือน ตอนนี้ หนูว่าจะกลับแล้ว’
สิ่งที่ทำให้หญิงเหล่านี้คงยังประกอบอาชีพลักษณะนี้อยู่ คือ ปัจจัยทางการเงินเป็นองค์ประกอบหลัก หญิงจากประเทศจีน กล่าวเสริมว่า ในปัจจุบันสถานการณ์ประเทศไทยค่อนข้างเข้มงวด ทำให้หาเงินได้ยากขึ้น และสิ่งที่น่าสนใจ คือ หญิงจากประเทศจีนเชื่อตรงกันว่า การกระทำลักษณะนี้ในประเทศไทยนั้นเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย รวมถึงลูกค้าก็เป็นทหาร ตำรวจในประเทศไทยจำนวนมาก จึงไม่เข้าใจว่า แท้จริงแล้วการให้บริการลักษณะนี้ถูกหรือผิดกฎหมายกันแน่
ขณะที่ หญิงชาวจีนคนที่ 3 เป็นหญิงที่ให้บริการผับบาร์ย่านพระราม 3 ที่มีความชัดเจนในการให้บริการ เฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน โดยหญิงชาวจีนคนที่ 3 มีรูปร่างและ หน้าตาดีกว่าหญิงชาวจีนที่ให้บริการในสถานบริการในอาบอบนวดมาก กล่าวคือ สถานบริการประเภทนี้จะคัดเฉพาะหญิงที่มีรูปร่างและหน้าตาดีเท่านั้นมาคอยให้บริการลูกค้า โดยมีการให้บริการในลักษณะของ ‘เด็กดริ้งค์’
หญิงชาวจีนคนที่ 3 เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯได้เพียง 1 เดือนเท่านั้น ผ่านการติดต่อจากนายหน้าชาวจีน รายได้ที่หญิงชาวจีนที่ 3 ได้รับนั้นจะหักจากค่าดื่ม ที่มีราคา 500 บาท ต่อหนึ่งดื่ม โดยหญิงบริการจะได้ 300 บาท ต่อ 1 ดื่ม และในแต่ละคือเขาทำรายได้ได้มากกว่า 10,000 บาทไทยในทุกคืน นอกจากนี้ยังมีการแอบแฝงการค้าประเวณีร่วมอยู่ด้วย
หญิงชาวจีนคนที่ 3 กล่าวอีกว่า จะเป็นการตกลงกันระหว่างตนกับลูกค้าที่นั่ง อยู่ โดยหากตนตกลงใจจะต้องหักรายได้ให้กับทางร้าน 30% ต่อครั้ง ซึ่งเป็นข้อตกลงเบื้องต้นกับทางร้าน โดยค่าบริการการค้าประเวณีของหญิงคนที่ 3 นั้น สูงถึง 50,000 บาทไทย ต่อครั้ง ซึ่งนับว่าสูงมากหากเปรียบเทียบกับหญิง ชาวจีน 2 คนแรก อันเนื่องมาจากลักษณะของการให้บริการ สถานที่ และตัวผู้ใช้บริการเองซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจ และนักท่องเที่ยวชาวจีนเท่านั้น
ที่มา: naewna
0 comments:
Post a Comment