
24 ก.พ. 58 เมื่อเวลา 10.00 น. คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ วาระพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา เป็นวันที่ 22 ได้พิจารณาบทบัญญัติภาค 2 ผู้นำการเมืองที่ดีและระบบผู้นำการเมืองที่ดี ในหมวด 3 ว่าด้วยรัฐสภา เริ่มต้นจากมาตรา 78 ว่าด้วยสภาผู้แทนราษฎร โดย อนุกมธ.พิจารณายกร่างบทบัญญัติเป็นรายมาตรา นำความจากมาตรา 93 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาพิจารณา แต่ปรับสาระสำคัญ คือ สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 450 คน มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งจำนวน 250 คน และสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสม จำนวน 200 คน จากเดิมที่รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 กำหนดให้มี ส.ส.จำนวน 500 คน มาจากแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 375 คน และจาก ส.ส.บัญชีรายชื่อ 125 คน
นอกจากนั้นได้ปรับเกณฑ์ ส.ส.ที่ประกอบเป็นสภาผู้แทนราษฎร และสามารถเปิดประชุมสภาฯ เป็นร้อยละ 85 จากเดิมที่ใช้เกณฑ์ร้อยละ 95 ทั้งนี้ที่ประชุมได้มีการอภิปราย และขอให้แก้ไขบทบัญญัติที่เสนอเพื่อเป็นการแก้ปัญหาที่อาจก่อให้เกิดการตีความ โดยเฉพาะระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสม ที่ต้องนำคะแนนนิยมที่แท้จริงของประชาชนผู้มาลงเลือกตั้ง ที่อาจทำให้ได้จำนวน ส.ส.ที่เกินจากที่ร่างรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ให้มี 450 คน ไปอีก 20 คน
ทั้งนี้มีผู้ที่เสนอให้ปรับจำนวน ส.ส.เขตให้เป็น 300 คน และ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ จำนวน 150 คน โดยให้เป็นไปตามข้อเสนอของภาคประชาชนและพรรคการเมืองที่ต้องการให้ ส.ส.เขตที่เข้าถึงประชาชนและพื้นที่ให้มากกว่า ส.ส.บัญชีรายชื่อ ซึ่งเป็นระบบที่ทำให้เกิดกลุ่มนายทุนพรรคการเมืองใช้เป็นช่องทางหาผลประโยชน์ ทั้งนี้ในประเด็นดังกล่าว กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญส่วนใหญ่เห็นว่าไม่ควรปรับตัวเลข ส.ส.ที่ได้คุยกันไว้ในหลักการ เพราะอาจเกิดผลกระทบต่อการเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสมที่ใช้การคำนวณจำนวน ส.ส.ตามคะแนนนิยมที่แท้จริงของประชาชน อีกทั้งต้องยอมรับว่าการแก้ปัญหานายทุนพรรคการเมืองไม่สามารถทำได้อย่างแท้จริง
ทั้งนี้ประเด็นดังกล่าวได้ใช้เวลาอภิปรายกันนานกว่า 1 ชั่วโมง 30 นาที เพื่อชี้แจงในรายละเอียดหลังจากที่มี กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ระบุออกมาว่าการพยายามแก้ไขสัดส่วน ส.ส.ดังกล่าวนั้นมาจากการลอบบี้ของนักการเมือง ทั้งนี้ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญที่เสนอแก้ไขยืนยันว่าไม่มีการลอบบี้ แต่เป็นการวิเคราะห์จากเหตุผลทางวิชาการ
นอกจากนั้นที่ประชุมได้มีการหารือถึงรายละเอียดในความเป็นไปได้ของการเปลี่ยนแปลงระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสมกลับไปเป็นการเลือกตั้งแบบเดิมที่ใช้เมื่อปี 2550 แต่ได้รับการทักท้วงว่าการเลือกตั้งแบบเดิมไม่ช่วยแก้ปัญหาเรื่องความขัดแย้ง แต่การเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสม ซึ่งแนวโน้มจะได้รัฐบาลผสม จะทำให้เกิดความปรองดองเป็นรัฐบาลปรองดอง ซึ่งเหมาะสมกับสภาพสังคมที่มีความขัดแย้งในปัจจุบัน รวมถึงคะแนนเสียงของประชาชนทุกคนไม่ถูกตัดทิ้งถือเป็นการให้ความสำคัญของประชาชน และการสะท้อนคะแนนที่แท้จริงดังกล่าวจะทำให้ได้ ส.ส.ในสภาที่ตรงกับความเป็นจริง โดยมีการยอมรับว่าหากใช้วิธีเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสม จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ ได้ ส.ส.เพิ่มขึ้นอีก 50 คน จากบัญชีรายชื่อภาคใต้หากคิดตามคะแนนนิยมในการเลือกตั้งรอบที่ผ่านมา
ในการสรุปตอนท้ายที่ประชุมจึงได้มีมติว่า ให้สภาผู้แทนราษฎร ประกอบด้วยสมาชิกไม่น้อยกว่า 450 คน แต่ไม่เกิน 470 คน โดยเป็นสมาชิกจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งจำนวน 250 คน และสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ไม่น้อยกว่า 200 คน แต่ไม่เกิน 220 คน
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ขณะที่เกณฑ์การเปิดประชุมสภาฯ ที่เสนอให้ใช้ร้อยละ 85 ที่ประชุมได้มีการแก้ไข ให้เป็นร้อยละ 90 เพื่อไม่ให้กระทบต่อการโหวตเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร และนายกรัฐมนตรี เนื่องจากหากใช้เกณฑ์ร้อยละ 85 จะเท่ากับจำนวน ส.ส.ที่ต้องรอการประกาศรับรองผลมากถึง 67 คน และหาก กกต.ดำเนินการเลือกตั้งแล้วเสร็จ ส.ส.ที่เข้ามาเติมเต็มดังกล่าวอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนขั้วในสภาฯ ได้ ส่วนการปรับจำนวนเป็นร้อยละ 90 คือ จะเท่ากับ ส.ส.ที่ต้องรอรับรองผล 45 คน เมื่อเปรียบเทียบกันจะไม่มีผลต่อการเปลี่ยนขั้วในสภ
ที่มา,www.komchadluek
0 comments:
Post a Comment