
ในรอบสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา มีประเด็นร้อนๆ เปรียบดั่งเป็น “สึนามิ” 3 ระลอกใหญ่ที่ซัดเข้าฝั่งรัฐบาลและคสช. ทำเอาปั่นป่วนไปพอ
สมควร จนต้องออกมาแถลงชี้แจงรายวันต่อกรณีที่ซัดต่อเนื่องกัน คือ เริ่มจากระลอกแรกกับการที่ นายแดเนียล รัสเซล ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ
ต่างประเทศสหรัฐ เดินทางมาประเทศไทย และมาเรียกร้องให้เลิกกฎอัยการศึกและเรียกร้องให้มีการเลือกตั้ง ก็มีการตอบโต้จากฝ่ายรัฐบาลจนกระแสข่าว
เงียบท่ามกลางความเคลือaคลงสงสัยกับท่าทีของสหรัฐอเมริกา
ต่อด้วยระลอกสอง ที่อดีตนายกฯ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ขออนุญาตเดินทางไปต่างประเทศ ซึ่งคำขอดังกล่าวก็ถูกปฏิเสธโดยคสช. และจากนั้น
ระลอกสามตามมาติดๆ ที่อดีตนายกฯ หญิงต้องเบนเส้นทางการบิน ในเมื่อไม่ได้ไปเมืองนอกแล้ว ก็บินขึ้นไปพักผ่อนที่ จ.เชียงใหม่ บ้านเกิด ทว่า กลับมีข่าว
และภาพข่าวปรากฏว่า มีเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารของกองทัพภาคที่ 3 ตั้งด่านตรวจและมีรถตู้ส่วนตัวของคุณยิ่งลักษณ์ถูกตรวจที่ด่านตรวจดังกล่าว ทำเอา
ฝ่ายสนับสนุนพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงนำมาขยายความว่า เป็นการ “คุกคาม ไล่ล่า ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ”
ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลและ คสช.ก็พร้อมใจกันออกมายืนยันเสียงแข็งว่า ไม่ใช่การไล่ล่า หรือคุกคาม แต่เป็นการดูแลบุคคลวีไอพีตามปกติ และยืนยันว่า
ไม่มีการตรวจค้นรถ ข่าวนี้ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องตอบคำถามนักข่าวดุเดือดรายวันเช่นกัน แล้วจากนั้นกระแสข่าวก็เริ่มซาลง
แต่สิ่งที่อยากจะชวนมาโฟกัสเป็นพิเศษ คือ กรณีที่เกิดขึ้นกับอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ที่ผมมีโอกาสไปนั่งสนทนากับบุคคลระดับสูงที่ดูแลงานด้าน
ความมั่นคงในรัฐบาล ก็ได้สอบถามถึงความจำเป็นที่รัฐบาลและ คสช.ต้องมีมาตรการตามติดคุณยิ่งลักษณ์อย่างใกล้ชิด ก็ได้รับคำชี้แจงที่เป็นคำอธิบายง่ายๆ
สั้นๆ ว่า “เพราะว่าคุณยิ่งลักษณ์คือเป้าหมายที่เปราะบางมากในลำดับต้นๆ”
ทั้งนี้คำว่า “เปราะบางมาก” ก็ได้รับการอธิบายขยายรายละเอียดว่า เพราะทุกความเคลื่อนไหวของคุณยิ่งลักษณ์ที่ตอนนี้เป็นเบอร์ 1 ของพรรค
เพื่อไทยที่อยู่ในประเทศไทย ย่อมมีผลกระทบและความอ่อนไหวต่อรัฐบาลและ คสช.ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะปล่อยให้เคลื่อนไหวอิสระหรือมีมาตรการตามติดก็ตาม
พร้อมกับสมมุติให้เห็นภาพว่า ถ้าสมมุติรัฐบาลหรือคสช.ไม่ตามติด และสมมุติว่า คสช.อนุญาตให้คุณยิ่งลักษณ์เดินทางไปต่างประเทศตามที่ขอ
อนุญาตมา แล้วไม่เดินทางกลับประเทศไทยจริงๆ ดังที่รับปากไว้ ก็มีตัวอย่างให้เห็นอยู่แล้วจากอดีตนายกฯ ผู้พี่ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” ก็จะทำให้คดี
ความต่างๆ โดยเฉพาะคดีโครงการรับจำนำข้าว ที่มีความเสียหายมหาศาลหลายแสนล้านบาท ที่คดีกำลังเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในชั้นศาลจะทำอย่างไร
หากไม่มีจำเลยมาขึ้นศาลนัดแรก
นั่นเท่ากับว่า เสียงด่า แรงกดดัน แรงกระเพื่อมก็จะถาโถมตกมาที่รัฐบาลและคสช. ก็จะย้อนมาถาม คสช.และรัฐบาลว่า “ปล่อยให้หนีไปได้ยังไง”
ดังนั้นรัฐบาลและคสช.ได้ประเมินสถานการณ์และชั่งน้ำหนักความจำเป็นดูแล้วว่า จะเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง หากไม่มีการติดตามอดีตนายกฯ หญิง
อย่างใกล้ชิดแบบนี้ แต่ยืนยันว่า เป็นความจำเป็น ที่ไม่ใช่การไล่ล่าคุกคามและลิดรอนเสรีภาพ เพราะอย่างไรเสีย ถ้าอดีตนายกฯ มั่นใจในความบริสุทธิ์จริง
ก็ต้องพร้อมต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเรื่องการดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมต้องย้อนไปอ่านวิธีคิดของ “พล.อ.ประยุทธ์” ที่ให้สัมภาษณ์
ตอนหนึ่งเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ว่า “ผมขอประกาศไว้เลยว่า ใครทำให้บ้านเมืองเสียหายเดือดร้อน จากนี้ไปต้องรับผิดชอบ ซึ่งที่ผ่านมาไม่ค่อยรับผิดชอบ
กันอยู่แล้ว ไม่ยอมปฏิบัติตามกฎหมาย ตามระเบียบวินัย ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ทุกคน ทุกพรรค เจตนาดีหรือไม่ก็ไปพิสูจน์กันในศาล”
ที่มา,http://www.komchadluek.net/
0 comments:
Post a Comment