
ความคืบหน้ากรณีมหาสมาเถรสมาคม (มส.) มีมติไม่ให้พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ต้องปาราชิก ซึ่งเรื่องดังกล่าวยังเป็นข้อถกเถียงกันอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดวันที่ 22 กุมภาพันธ์ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้ได้สั่งการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติให้รายงานมติของมหาเถรสมาคมอย่างละเอียดให้ทราบ ทั้งนี้ กรณีการกระทำผิดพระธรรมวินัย และการลงโทษตามพระธรรมวินัยเป็นเรื่องของคณะสงฆ์ที่มีแนวทางปฏิบัติไว้ในข้อบังคับของมหาเถรสมาคม ส่วนกรณีพระธัมมชโยที่มหาเถรสมาคมประชุมหารือเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์นั้น เป็นเรื่องการดำเนินการของฝ่ายศาสนจักร ดังนั้นไม่ว่าจะเสร็จสิ้นหรือจะดำเนินการอย่างไรต่อไปก็เป็นเรื่องของฝ่ายศาสนจักรที่มีกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ รวมทั้งพระธรรมวินัยกำกับไว้อยู่แล้ว
"ส่วนหนึ่งที่ได้สั่งการให้ทำไปแล้วคือ กฎหมายที่เกี่ยวกับกิจการพระพุทธศาสนาทุกด้าน ทั้งกฎหมายเก่าและกฎหมายใหม่ ปัจจุบันมีกฎหมายใหม่อยู่หนึ่งฉบับคือ ร่าง พ.ร.บ.อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจแก้ไขร่างเสร็จแล้ว เตรียมดำเนินการในขั้นตอนต่อไป และคงจะต้องนำมาทบทวนอีกสักรอบว่า เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบันหรือไม่ หรือมีประเด็นใดที่ถูกมองข้ามหรือละเลย" นายสุวพันธุ์ กล่าว
นายสุวพันธุ์ กล่าวต่อว่า ส่วนอีกเรื่องที่ต้องทำคือ การปฏิรูปเชิงโครงสร้างและระบบ ซึ่งต้องทำงานร่วมกันระหว่างรัฐบาล สภาปฏิรูปแห่งชาติ ภาคประชาชน และฝ่ายศาสนจักร เพราะข้อเท็จจริงในปัจจุบันปรากฏให้เห็นแล้วว่า ขณะนี้พุทธศาสนิกชนตื่นตัวในเรื่องการปกป้องพระพุทธศาสนา โดยพยายามรณรงค์ให้ประชาชนเข้าวัด ไหว้พระ สวดมนต์ ทำความดี แต่อีกทางหนึ่งประชาชนหลายฝ่ายจำนวนมากก็มีข้อกังขา ทำให้ความพยายามส่งเสริมจึงไม่เกิดผลสัมฤทธิ์ ดังนั้นสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติต้องเป็นกลไกในการทำงานให้แก่รัฐบาล และต้องทำทุกอย่างให้เป็นไปตามนโยบายแนวทางที่รัฐบาลกำหนด ซึ่งเรื่องนี้ได้กำชับผู้บริหารไปแล้ว
เล็งจี้'บิ๊กตู่-เทียนฉาย'ยุบก.ก.ปฏิรูปฯ
วันเดียวกัน ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ พระเมธีธรรมาจารย์ รองอธิการบดีฝ่ายประชาสัมพันธ์ และเผยแพร่ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) ในฐานะที่ปรึกษาสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา (สนพ.) กล่าวก่อนการประชุมกรรมการ สนพ.ว่า ขณะนี้องค์กรพุทธและ สนพ.ได้ประชุมหารือกันแล้ว เบื้องต้นวันที่ 24 กุมภาพันธ์ องค์กรพุทธและสนพ.จะส่งผู้แทนไปยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รวมถึง นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ให้ยกเลิกการตั้งคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา โดยองค์กรพุทธและสนพ.ขอโต้แย้งว่า คณะสงฆ์ไม่ได้ปิดกั้นการตรวจสอบหรือช่วยกันปรับปรุงโครงสร้างต่างๆ ให้ดีขึ้น แต่บุคคลที่เข้ามาทำหน้าที่ควรเป็นบุคคลที่เป็นกลาง ไม่ใช่พวกสุดโต่ง ซึ่งเป็นเรื่องยากที่คณะสงฆ์จะยอมรับได้
ส่วนที่มีการประกาศตรวจสอบการทำงานของมหาเถรสมาคม(มส.) มองว่า เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากใน มส.นั้น เป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ ที่ทางคณะกรรมการควรจะให้เกียรติ ทั้งนี้ยืนยันว่าคณะสงฆ์ไม่เคยปิดกั้นเกี่ยวกับเรื่องการปฏิรูปพระพุทธศาสนา เพราะคณะสงฆ์ก็อยากเห็นพระพุทธศาสนามั่นคงงดงามเช่นกัน แต่อยากให้ทางคณะกรรมการมาอย่างเหมาะสมด้วยการให้เกียรติพระเถระชั้นผู้ใหญ่ด้วยสัมมาทิฐิ และไม่เคยมีรัฐบาลไหนตั้งฆราวาสมาปกครองคณะสงฆ์ ยืนยันว่า พระไม่ได้กลัว แต่คนที่เข้ามาไม่ควรเป็นคนที่มีมิจฉาทิฐิ
"การแก้ไขปัญหาพระพุทธศาสนาทั้งฝ่ายบ้านเมืองและคณะสงฆ์ต้องช่วยกัน แต่การประกาศตัวว่า จะตรวจสอบเล่นงานพระรูปนั้นรูปนี้ ถือว่าไม่เคารพวัฒนธรรมองค์กรสงฆ์ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นอาตมาจะประสานผู้บริหารกับสมาคมศิษย์เก่า และองค์กรนิสิต มจร.ว่า จะเคลื่อนไหวออกมาอย่างไรด้วย” พระเมธีธรรมาจารย์ กล่าว
ขณะที่ ผศ.ดร.เสถียร วิพรมหา นายกสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา กล่าวว่า จากการตรวจสอบรายชื่อคณะกรรมการปฏิรูปฯ พบว่า มี 1 คน เป็นเลขาฯของพระพุทธะอิสระ ซึ่งคณะกรรมการส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการเมืองอีกฝ่าย ทั้งนี้ที่ผ่านมามีแต่พูดกันว่าต้องการปฏิรูปคณะสงฆ์ แต่กลับไม่มีใครตั้งคณะกรรมการที่มาจากฝ่ายสงฆ์สักคน จึงขอคัดค้านการแต่งตั้งกรรมการชุดดังกล่าว
ดร.เมธาพันธ์ โพธิธีรโรจน์ เลขาธิการสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา กล่าวว่า การที่พระพุทธะอิสระปลุกปั่นผ่านสื่อออนไลน์ หรือปลุกระดมคนไปชุมนุมกันที่วัดปากน้ำ จึงอยากฝากถามรัฐบาลว่า เป็นการละเมิดกฎอัยการศึกหรือไม่ ขณะเดียวกันยังส่งทหารติดอาวุธครบมือไปอารักขาพระพุทธะอิสระถูกต้องหรือไม่ อย่างไรก็ตามการไปยื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรี และประธานสปช. ทางคณะจะไม่ละเมิดต่อกฎอัยการศึก
“การกล่าวพากพิง มส.สามารถทำได้ แต่การทำงานของ มส.ก็อิงพระธรรมวินัย และพ.ร.บ.คณะสงฆ์ ซึ่งมีสิทธิและหน้าที่ในการดำเนินงาน ส่วนนายไพบูลย์ นิติตะวัน ก็เป็นแนวร่วมเดียวกับพระพุทธะอิสระ ซึ่งมีความเห็นตรงกันว่า มส.อ่อนแอ จึงอยากให้ตั้งองค์กรที่มาปฏิรูป มส. โดยคณะกรรมการปฏิรูปเกือบทั้งชุดล้วนเกี่ยวข้องทางการเมือง อาจจะมองคณะสงฆ์เป็นฝ่ายตรงข้ามเป็นอีกสีเสื้อหนึ่ง และเชื่อมโยงกับธรรมกาย ทำให้เห็นว่า เป็นการนำการเมืองมาครอบนำคณะสงฆ์ ส่วนตัวเชื่อว่า คณะสงฆ์ไม่ได้เลือกฝ่ายอย่างแน่นอน"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันเดียวกัน วัดพระธรรมกายจัดโครงการตักบาตรพระ 10,000 รูป น้อมถวายเป็นพุทธบูชา และช่วยเหลือคณะสงฆ์ ทหาร ตำรวจ ครู และชาวบ้านในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ บริเวณหน้าด่านพรมแดนไทย-พม่า อ.แม่สาย จ.เชียงราย ตรงข้าม จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า โดยมีพระสังฆราชจาก 3 ประเทศ คือ สปป.ลาว กัมพูชา และเวียดนาม เข้าร่วมบิณฑบาตด้วย ก่อนพิธีตักบาตรจะเริ่มขึ้นผู้จัดงานได้แจกจ่ายเอกสารประชาสัมพันธ์ว่า การตักบาตรครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการตักบาตรพระ 2 ล้านรูปใน 77 จังหวัดทั่วประเทศของ “พระธัมมชโย” เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย โดยระบุว่า ที่ผ่านมาโครงการนี้สามารถนำข้าวสารอาหารแห้ง เครื่องอุปโภค บริโภคไปมอบให้พื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้กว่า 4,500 ตันแล้ว
อย่างไรก็ตาม บรรยากาศการตักบาตรปีนี้มีผู้คนเข้าร่วมโครงการเต็มหน้าด่านพรมแดน จนต้องปิดช่องทางจราจรเป็นการชั่วคราว รวมทั้งมีบุคคลสำคัญทั้งสายการเมือง ข้าราชการ นักธุรกิจเข้าร่วมตักบาตรด้วยหลายคน
มหิดลจัดระดมสมองหทางออกระยะยาว
เดียวกันมูลนิธิ 100 พระชันษา สมเด็จพระญาณสังวรานุสรณ์ ในพระสังฆราชูปถัมภ์, มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และพุทธสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดประชุมสัมมนาวิชาการเรื่อง“รัฐบาลควรจะส่งเสริมพระพุทธศาสนาอย่างไรในยุค AEC?” ระดมสมองนักวิชาการทางพระพุทธศาสนาเพื่อหาทางออกให้พระพุทธศาสนาในระยะยาว ในวันเสาร์ที่ 28 กุมภาพันธ์นี้ ตั้งแต่เวลา 08.00น.เป็นต้นไป ณ ห้องประชุมสถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเซีย มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา นครปฐม
ที่มา,http://www.komchadluek.net/
0 comments:
Post a Comment