Monday, February 16, 2015

Tagged Under:

ประยุทธ์’เมินคุย‘ทักษิณ’เหตุมีคดี ‘ประยุทธ์’เมินคุย‘ทักษิณ’เหตุมีคดี

By: news media On: 4:28 AM
  • Share The Gag


  •                เมื่อเวลา 12.30 น.วันที่ 16 ก.พ.  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เสนอให้พูดคุยกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเพื่อสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นภายในชาติ ว่า “เขามีอำนาจอะไรที่จะมาบังคับผม แล้วมีการกระทำอะไรที่ขัดต่อหลักของกฎหมายหรือไม่ อย่าลืมว่าวันนี้คุณทักษิณมีคดีติดตัวอยู่แล้วผมจะไปพูดด้วยได้หรือไม่ล่ะก็ต้องคิดดูตรงนี้”

                   ผู้สื่อข่าวถามว่าแสดงว่าสถานะของนายกฯในวันนี้ไม่สามารถที่จะไปพูดคุยกับพ.ต.ท.ทักษิณได้ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “คำถามนี้เข้าท่า”

                   ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่าเมื่อตัวเองไม่สามารถไปพูดคุยเองได้ จะมอบหมายให้ผู้อื่นไปหารือแทนหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ว่าใครไปก็ผิดทั้งหมดปัญหาอยู่ที่ว่าถ้าใครอยากจะปรองดองก็กลับประเทศมาเข้ามาสู่กระบวนการซึ่งเรื่องนี้ตนพูดมาหลายครั้งแล้ว ไม่ว่าจะใครก็เป็นเหมือนกันทุกคนเห็นมีตั้งหลายคนก็กลับเข้ามาก่อนสิ ซึ่งไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่งมันขัดแย้งกันเยอะไปหมดผิดกฎหมายกันตรงไหนก็ขอให้กลับเข้ามาเข้าสู่กลไกและกระบวนการยุติธรรม

    ‘มาร์ค’แนะตีโจทย์‘ปรองดอง’ให้ชัด

                  นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตนเข้าใจว่าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มองว่าเรื่องของการปรองดองเป็นเรื่องของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ที่มีในหมวดการปฏิรูปและเรื่องปรองดอง ดังนั้นการจะดำเนินการอะไรต้องคงต้องฟังข้อเสนอของทาง กมธ.ยกร่างฯ ก่อน ขณะเดียวกันในส่วนของ กมธ.ยกร่างฯ ยังไม่มีข้อยุติทั้งหมด ตนอยากให้ กมธ.ยกร่างฯ ตีโจทย์ให้ชัดว่าปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเป็นความขัดแย้งในลักษณะไหน ปัญหาที่ผ่านมาเป็นเรื่องของการกระทำ ที่ผิดกฎหมายหรือไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้ ทำให้ไม่เกิดความเชื่อมั่นในทุกฝ่าย เพราะฉะนั้นจึงต้องแก้ตรงนี้ให้ได้ ซึ่งตนเข้าใจว่าสัปดาห์นี้จะได้ข้อยุติในส่วนของ กมธ.ยกร่างฯ ผู้สื่อข่าวถามว่า ระยะเวลาในการดำเนินงานของคณะกรรมการปรองดองแห่งชาติ ที่ต้องใช้เวลาถึง 5 ปี นานเกินไปหรือไม่

    ร่วมถกร่างรธน.เพื่อไทย-ชาติไทยฯชี้ก่อปัญหาในอนาคต


                 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการสัมมนาเรื่องหลักการใหม่เกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตย นักการเมืองและสถาบันการเมือง ตัวแทนของพรรคการเมืองที่เข้าร่วมได้แสดงความเห็นอย่างกว้างขวาง โดยมีตัวแทนแต่ละพรรคการเมืองจำนวน 30 รายที่แสดงเจตจำนงในการเสนอความเห็น ซึ่งได้รับจัดสรรเวลาคนละ 5 นาที  นายสามารถ แก้วมีชัย อดีตส.ส.เชียงรายพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงข้อเสนอว่าหลักการทั้ง 13 ข้อของกมธ.ยกร่างฯ นั้น ก็มีความเป็นห่วงว่าจะเป็นเรื่องของการปฏิรูปหรือจะสร้างปัญหาใหญ่

                 เพราะในทางปฏิบัติมันไม่เหมือนตอนเขียนรัฐธรรมนูญ เช่นมีการพยายามตั้งกรรมการขึ้นมาหลายชุดเพื่อตรวจสอบผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง โดยเฉพาะ การตรวจสอบทรัพย์สินบุคคลก่อนลงรับสมัครเลือกตั้งหากไม่ชัดเจนจะไม่มีสิทธิลงรับสมัครซึ่งตรงนี้จะเกิดปัญหาความไม่เป็นธรรมหากได้ผู้ที่เข้ามาตรวจสอบไม่เป็นกลางหรือสุจริตเที่ยงธรรมซึ่งปัญหานี้จะลงไปถึงท้องถิ่นที่จะมีการตั้งสมัชชาพลเมืองต่อไปองค์กรท้องถิ่นจะทำงานยาก

                 นายสามารถกล่าวต่อว่า อีกเรื่องที่มีความสำคัญคือ ในส่วนของพรรคการเมืองตนเห็นว่าหลักการของกมธ.ยกร่างฯ ไม่เป็นการส่งเสริมพรรคการเมืองและยังทำให้พรรคการเมืองอ่อนแอ เพราะ ส.ส.จะสังกัดพรรคหรือไม่ก็ได้หรือจะเป็นคณะบุุคคล ซึ่งมีกฏเกณฑ์การควบคุมที่แตกต่างกัน ที่ชัดเจนคือประเด็นที่ระบุว่าในการหาเสียงของพรรคการเมืองต้องบอกถึงเงินภาษีของประชาชนที่จะนำไปทำโครงการต่างๆว่ามีที่มาจากไหน ใช้เท่าไหร่ มันก็จะกลายเป็นว่าต่อไปนี้ไม่ต้องทำพรรคแล้ว ตั้งเป็นคณะบุคคลดีกว่าเพราะไม่ถูกเงือนไขนี้บังคับ

                 นายสามารถ กล่าวว่าในการสมัครส.ส.ที่กมธ.ยกร่างฯต้องการให้มีการป้องกันการซื้อสิทธิขายเสียงถามว่าผู้สมัครที่ไม่มีนโยบายไปหาราษฎรจะเอาอะไรไปบอกว่าจะเข้าไปทำอะไรใครเป็นนายกรัฐมนตรี ในที่สุดสิ่งที่เรากลัวคือวิธีการหาเสียงที่ไม่ชอบด้วยกฏหมาย มันจะยิ่งกลับมา

                 "ขอกรุณาการทำกติกาต้องเป็นกติกาที่ยอมรับได้ทุกฝ่าย ที่นานาชาติรับได้และที่สำคัญบ้านเมืองเราที่แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่ายจึงอย่าเขียนกติกาแบบมีอคติอย่าให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดรู้สึกว่าจะถูกกีดกันหรือไม่อยากให้อธิบายได้ทุกมาตราว่าเขียนเพราะอะไร" นายสามารถ กล่าว


                 นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล หัวหน้าพรรคชาติพัฒนา กล่าวถึงข้อเสนอว่าเห็นด้วยที่จะให้กกต.จัดการเลือกตั้งส่วนประเด็นที่จะให้ปลัดกระทรวงรักษาการแทนรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีระหว่างช่วงเลือกตั้งนั้น ตนไม่เห็นด้วย เพราะช่วงนั้นอาจมีการประชุมหารือกันระหว่างประเทศการจะให้ปลัดกระทรวงทำหน้าที่ผู้แทนของประเทศอาจทำให้ศักดิ์ศรีของประเทศต่ำลง จึงเห็นว่าควรให้นายกรัฐมนตรีรักษาการต่อไปแต่ให้มีการจำกัดอำนาจเพื่อไม่ให้ใช้อำนาจนั้นเอาเปรียบผู้อื่นในการเลือกตั้ง

                 นพ.วรรณรัตน์ กล่าวว่า ประเด็นที่จะให้หัวหน้าพรรคการเมืองลำดับ 1-4 ในสภาครั้งที่แล้วต้องดีเบตผ่านโทรทัศน์นั้น เห็นว่าไม่เป็นธรรมเป็นการเลือกปฏิบัติจึงควรให้หัวหน้าทุกพรรคการเมืองมีดอกาสดีเบตเพื่อให้ประชาชนตัดสินอีกทั้ง ที่กมธ.ยกร่างฯ ระบุ ว่าส.ส.จะสังกัดพรรคหรือไม่ก็ได้ เห็นว่าไม่เป็นธรรม เพราะมีกฏเกณฑ์ควบคุมกันคนละรูปแบบจึงเห็นว่าส.ส.ควรสังกัดพรรคการเมือง และเคารพมติพรรคแต่ในบางกรณีที่เป็นเรื่องสำคัญ ส.ส.สามารถมีอิสระในการลงมติออกเสียงได้

                 นายนิกร จำนง ให้ข้อเสนอว่า เท่าที่ดูร่างรัฐธรรมนูญแล้วเห็นว่าต้องการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในอดีต แต่จะสร้างปัญหาในอนาคต เช่นในเรื่องระบบการเมืองซึ่งที่ผ่านมาการเลือกตั้งที่มาจากประชาชนขาดความน่าเชื่อถือจึงมีการให้อำนาจรัฐสภาโดยเฉพาะการให้อำนาจส.ว.ซึ่งส่วนหนึ่งมีที่มาจากการสรรหาสามารถดำเนินการลงมติถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการหรือมีอำนาจลงมติแต่งตั้งรัฐมนตรีที่เป็นเช่นนี้เพราะเหตุผลที่ว่าเราไม่เชื่อในสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นเรื่องน่าเป็นห่วง

                 นายนิกร กล่าวว่า นอกจากนี้ความไม่เชื่อมั่นในการเลือกตั้งที่ผ่านมา กมธ.ยกร่างฯ จึงมีความพยายามลดสัดส่วนของผู้ได้รับเลือกตั้งจากประชาชนให้มีน้อยลงแต่จะให้มีัดส่วนของการสรรหามากขึ้นเช่นเดียวกับปัญหาที่เคยเกิดขึ้นกับพรรคการเมืองในอดีตกมธ.ยกร่างฯจึงพยายามลดจำนวนพรรคการเมืองลงจึงเชื่อได้เมื่อมีการเลือกตั้งจะไม่มีพรรคเสียงข้างมาก

                 นอกจากนี้ นายนิกร กล่าวว่า วิธีการเลือกตั้งที่กมธ.ยกร่างฯมีการเสนอไว้หลากหลายรูปแบบนั้น ตนมองว่าเป็นเรื่องที่มีความซับซ้อนไม่เฉพาะประชาชนเท่านั้นที่เกิดความสับสนพรรคการเมืองเองก็ยังมีความสับสน

     ตั้งองค์กรสาน‘ปฏิรูป-ปรองดอง’อยู่5ปี


                 ที่รัฐสภา นายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษกคณะกรรมาธิการ(กมธ.)ยกร่างรัฐธรรมนูญ แถลงความคืบหน้าการประชุมคณะกมธ.ยกร่างฯในการพิจารณาร่างบทบัญญัติรายมาตรา โดยมีการเริ่มพิจารณาตั้งแต่ภาค4การปฏิรูปและการสร้างความปรองดอง หมวด1บทบัญญัติทั่วไปโดยภาค4การปฏิรูปและการสร้างความปรองดองนั้น กมธ.ยกร่างฯได้บัญญัติขึ้นมาใหม่เพื่อตอบโจทย์ประเทศที่อยู่ในภาวะความขัดแย้งมา7-8ปี ดังนั้นเมื่อมีรัฐธรรมนูญใหม่ก็จะช่วยยุติความขัดแย้งลง และการสร้างความปรองดอง เช่น ความเหลื่อมล้ำของประชาชาในสังคม ที่ประชาชนมีความรู้สึกว่ามั่งมีต่อเศรษฐกิจมากกว่าบางกลุ่ม โดยบทบัญญัติดังกล่าวจะมีอายุการทำงาน5ปี นับตั้งแต่วันที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้มีผลบังคับใช้ เว้นแต่พลเมืองผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่า 5 หมื่นคน รัฐสภา หรือ คณะรัฐมนตรี(ครม.)เสนอให้จัดมีการออกเสียงทำประชามติ บทบัญญัติภาคนี้คงใช้บังคับอยู่ต่อไปซึ่งต้องไม่เกิน5ปี นับตั้งแต่วันที่พลเมืองมีสิทธิเลือกตั้ง โดยเสียงข้างมากออกเสียงประชามติเห็นชอบ

                 นายคำนูณ กล่าวต่อว่า องค์กรที่จะตั้งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น กรรมการปฏิรูปประเทศ จะมีอำนาจในการเสนอแนะและเสนอกฎหมายเกี่ยวกับการปฏิรูป ซึ่งมีขั้นตอนที่แตกต่างออกไปจากเดิม คือ ร่างกฎหมายเกี่ยวกับการปฏิรูปจะเสนอไปยังวุฒิสภา เพื่อให้วุฒิสภาพิจารณา หากผ่านทั้ง3วาระแล้ว ก็จะส่งต่อไปยังสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้ลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบเท่านั้น หากเห็นชอบกฎหมายก็ดำเนินการต่อไปได้ แต่หากไม่เห็นชอบเรื่องก็จะถูกส่งกลับมายังวุฒิสภา เพื่อให้มีการดำเนินการตามกลไกของวุฒิสภาต่อไป

                 ส่วนคณะกรรมการปรองดองแห่งชาติ ตั้งขึ้นมาดูเหมือนจะต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ คงไม่ใช่เป็นการสยบความเคลื่อนไหว เพราะการเคลื่อนไหวมีหลายรูปแบบถือเป็นสิทธิของประชาชนตามรัฐธรรมนูญอยู่แล้วสำหรับอำนาจหน้าที่จะเป็นการเสนอแนะนโยบายอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ได้เจาะจงเฉพาะกฎหมายใดกฎหมายหนึ่งเท่านั้น โดยหากเสนอไปยังครม. และครม.มีความเห็นต่างออกไป ครม.ต้องชี้แจงเหตุผล

                 อย่างไรก็ตามข้อเสนอของนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานกมธ.ยกร่างฯ ในการอภัยโทษนั้น ขณะนี้ในกมธ.ยกร่างฯ ยังไม่มีการพูดถึง คงต้องรอให้ถึงหมวดที่เกี่ยวข้องก่อนเป็นเพียงการปาฐกถาของนายบวรศักดิ์ ซึ่งเป็นความเห็นส่วนตัวเท่านั้น

                 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีการตั้งกรรมการปฎิรูปประเทศ ของกรรมาธิการ(กมธ.)ยกร่างรัฐธรรมนั้น ได้มีกมธ.บางคนไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ โดยให้เหตุผล ว่า อยากให้มีการปรับปรุงหรือเขียนในเรื่องของกลไกมากกว่าการตั้งกรรมการขึ้นมาทำงาน เพราะเรามีรัฐสภาทำหน้าที่ในการออกกฎหมายและมีรัฐบาลทำหน้าที่ในการบริหารอยู่แล้ว จึงน่าจะให้รัฐบาลและรัฐสภา ทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพ เชิญฝ่ายต่างๆมาร่วมมากกว่า อยากให้เน้นเรื่องกลไกต่างๆในการตรวจสอบ มากกว่าการเขียนแล้วให้มาบังคับใช้

    ที่มา,http://www.komchadluek.net/

    0 comments:

    Post a Comment