Tuesday, February 24, 2015

Tagged Under:

ไล่ตะเพิด'ทักษิณ' 'บิ๊กตู่'ปัด ต่อสายตรงเจรจา

By: news media On: 5:21 PM
  • Share The Gag

  •      ปปช.เคาะสอย250ส.ส.คดีแก้รธน. แจ้งข้อหา‘มาร์ค-เทือก’สลายม็อบ ศาลฎีกาคลอด9อรหันต์ฟันคดีข้าว

    ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาตั้ง 9 อรหันต์พิจารณาคดีอาญา “ปู” จำนำข้าว 19 มี.ค. นัดฟังคำสั่งรับฟ้อง “ยิ่งลักษณ์” ต้องมาเอง ทีมทนาย “ปู” ตั้งหลักก่อนยื่นคัดค้าน “สมหมาย” ตั้ง กก.สอบยอดเจ๊งข้าว ปลัดคลังสรุปเบื้องต้นจำนำข้าวปี 47-ก.ย.57 ขาดทุนยับ 7 แสนล้าน “บิ๊กตู่” ฮึ่มก๊วนก่อหวอดผิด ก.ม.ฟันไม่เลี้ยง ปัด “ทักษิณ” ต่อสายตรงเจรจา ลั่นไม่เอาด้วยให้ว่าไปตาม ก.ม.ตะเพิดส่งจะไปไหนก็ไป ป.ป.ช.เคาะสอยอดีต 250 ส.ส. แก้ รธน.มิชอบ ชงเข้า ป.ป.ช.ชุดใหญ่ลงมติทางการ 3 มี.ค. แจ้งข้อหา “มาร์ค-เทือก” สั่งสลายม็อบแดง ตั้งอนุฯสอบอธิบดีโยธาซื้อไมค์แพง กมธ.ยกร่างฯทุบพรรคการเมืองใหญ่ เปิดช่องตั้งกลุ่มการเมืองลงเลือกตั้ง ซุ่มเงียบ แอบเพิ่ม ส.ส.ทั้งสภาฯมีไม่เกิน 470 คน จัดให้อีก 20 เก้าอี้บัญชีปาร์ตี้ลิสต์ “เอนก” เข้าเรือนจำเยี่ยมนักโทษการเมือง จ่อขออภัยโทษพิเศษเป็นรายบุคคล

    หลังอัยการสูงสุดยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ก่อให้เกิดความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าวต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ล่าสุดที่ประชุมผู้พิพากษาในศาลฎีกาได้ประชุมลงคะแนนลับคัดเลือก 9 องค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีเรียบร้อยแล้ว

    ศาลฎีกาเฟ้นผู้พิพากษาคุมคดี “ปู”

    เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 24 ก.พ. ที่ห้องประชุม ชั้น 3 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถนนแจ้งวัฒนะ นายดิเรก อิงคนินันท์ ประธานศาลฎีกา เรียกประชุมผู้พิพากษาในศาลฎีกาทั้งหมด 173 คน เพื่อลงคะแนนเลือกผู้พิพากษา 9 คน เป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีโครงการรับจำนำ ข้าว คดีหมายเลขดำ อม.22/2558 ที่นายตระกูล วินิจนัยภาค อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ละเว้นปฎิบัติ หน้าที่โดยทุจริตเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต มาตรา 123/1 จากกรณีละเลยไม่ยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว กระทั่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐบาลเป็นเงินกว่า 6 แสน ล้านบาท ที่อัยการสูงสุดยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดี อาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อวันที่ 19 ก.พ.ที่ผ่านมา

    ตั้ง 9 องค์คณะชี้ขาดอาญาจำนำข้าว

    ในวันนี้มีผู้พิพากษาศาลฎีการ่วมประชุม 146 จากทั้งหมด 173 คน ปรากฏว่ามีผู้ได้รับการคัดเลือกเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีโครงการรับจำนำข้าว ประกอบด้วย 1.นายธานิศ เกศวพิทักษ์ ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา 2.นายวีระพล ตั้งสุวรรณ รองประธานศาลฎีกา 3.นายชีพ จุลมนต์ รองประธานศาลฎีกา 4.นางอุบลรัตน์ ลุยวิกกัย ประธานแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลฎีกา 5.นายศิริชัย วัฒนโยธิน รองประธานศาลฎีกา 6.นายธนสิทธิ์ นิลกำแหง ประธานแผนก คดีเลือกตั้งในศาลฎีกา 7.นายธนฤกษ์ นิติเศรณี ประธานแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา 8.นายวิรุฬห์ แสงเทียน ประธานแผนก คดีพาณิชย์และเศรษฐกิจในศาลฎีกา และ 9.นายไสลเกษ วัฒนพันธุ์ ประธานแผนกคดีภาษีอากรในศาลฎีกา

    ลุ้น 19 มี.ค.นัดฟังคำสั่งรับฟ้อง

    หลังจากที่ประชุมได้เลือกผู้พิพากษาเป็นองค์คณะทั้ง 9 คนแล้ว จะนำเรื่องเสนอแก่นายดิเรก อิงคนินันท์ ประธานศาลฎีกา เพื่อลงนามติดประกาศรายชื่อ โดยจะปิดประกาศที่หน้าอาคารศาลฎีกา ถนนแจ้งวัฒนะ ภายใน 5 วัน นับจากที่การเลือกองค์คณะเสร็จสิ้น เพื่อให้คู่ความได้รับทราบและตรวจดู หากจะมีการคัดค้านผู้พิพากษาท่านหนึ่งท่านใดในการเป็นปฏิบัติหน้าที่เป็นองค์คณะ การยื่นคัดค้าน คู่ความสามารถยื่นได้ตั้งแต่วันที่มีการติดประกาศไปจนถึงวันก่อนที่จะเริ่มมีการไต่สวนพยานในคดี ขณะที่องค์คณะผู้พิพากษาทั้ง 9 คน จะได้นัดประชุมกันภายในเพื่อเลือกผู้พิพากษา 1 ใน 9 คน เป็นเจ้าของสำนวนในคดีนี้ และร่วมกันพิจารณาคำฟ้องของอัยการสูงสุดว่าครบองค์ประกอบและอยู่ในเขตอำนาจศาลฎีกาฯที่จะประทับรับฟ้องคดีไว้พิจารณาพิพากษาได้หรือไม่ โดยศาลฎีกาฯกำหนดนัดฟังคำสั่งว่าจะรับฟ้องคดีหรือไม่ ในวันที่ 19 มี.ค.นี้ เวลา 10.00 น.

    5 ท่านเปาดูคดีสลายม็อบปี 51

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับองค์คณะพิจารณาคดีนี้ ปรากฏว่ามีผู้พิพากษา 5 คน ประกอบด้วย นายวีระพล ตั้งสุวรรณ นายชีพ จุลมนต์ นายศิริชัย วัฒนโยธิน รองประธานศาลฎีกา นายธนฤกษ์ นิติเศรณี ปธ.แผนกคดีอาญาฯ นายธนสิทธิ์ นิลกำแหง ปธ.แผนกคดีเลือกตั้ง ที่ก่อนหน้านี้ได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาให้เป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีที่ ป.ป.ช.เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯกับพวก รวม 4 คน ฐานเป็น เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ในเหตุการณ์สลาย การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ปี 51 ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการไต่สวนในชั้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

    เปิดปูมหลังมือพิพากษาคดี “ทักษิณ”

    ส่วนนายวีระพล ตั้งสุวรรณ นั้นเมื่อปี 55 ขณะเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา เคยได้รับเลือก ในที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ให้เป็น 1 ในองค์คณะพิจารณาคดีอัยการสูงสุด ฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ กับพวกรวม 27 ราย เป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีทุจริตที่ธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้ บริษัทกฤษดามหานคร จำกัด และบริษัทในเครือ คดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างไต่สวนพยานในส่วนของจำเลยอื่น แต่ในส่วนของ พ.ต.ท.ทักษิณจำเลยที่ยังหลบหนีคดีศาลได้จำหน่ายคดีชั่วคราว สำหรับนายธานิศ เกศวพิทักษ์ ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา เคยเข้าไปปฏิบัติหน้าที่เป็นตุลาการรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ปี 49 หลังจากรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร 19 ก.ย.49 โดยได้ร่วมพิจารณาพิพากษาคดียุบพรรคไทยรักไทย ตอนนั้นแม้มีมติ 9-0 ให้ยุบพรรค แต่นายธานิศเป็น 1 ใน 3 ตุลาการ รัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย ที่ไม่เห็นด้วยว่าจะนำประกาศ คปค. ฉบับที่ 27 มาย้อนหลังใช้บังคับเพื่อกำหนดโทษการตัดสิทธิ์การเมืองกรรมการบริหารพรรค เป็นเวลา 5 ปี นอกจากนี้ ในช่วงเดือน ก.ย. 51

    นายธานิศยังได้รับเลือกที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ให้เป็นองค์คณะร่วมพิพากษาคดีอัยการสูงสุด ฟ้องยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี 4.6 หมื่นล้านบาท โดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาให้ยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ

    ทนาย “ปู” ตั้งหลักก่อนยื่นคัดค้าน

    นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทีมทนายความ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ กล่าวถึงการตรวจสอบรายชื่อผู้พิพากษาที่ได้รับเลือกเป็นองค์คณะคดีรับจำนำข้าวว่าจะมีการยื่นคัดค้านองค์คณะตามกฎหมายที่ให้สิทธิหรือไม่ว่า ขณะนี้เพียงแต่ทราบรายละเอียดจากสื่อมวลชนเท่านั้น ว่าผู้พิพากษาท่านใดได้รับเลือกบ้าง ขณะที่ทีมทนายจะต้องรอให้มีการประชุมหารือกันก่อน พร้อมทั้งดูรายชื่อผู้พิพากษาที่ชัดเจนอีกครั้ง จึงจะให้ความเห็นได้ว่ามีเหตุที่จะต้องยื่นคัดค้านหรือไม่

    “วิษณุ” ขอคุย จนท.ก่อนหารือขุนคลัง

    เมื่อเวลา 14.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึง การดำเนินการฟ้องเรียกค่าเสียหายในโครงการรับจำนำข้าวต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ว่า ตามที่นายกฯมอบหมายให้ดูข้อกฎหมาย และนายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง ขอมาหารือ ได้แจ้งไปว่า ช่วงบ่ายวันที่ 24 ก.พ. ขอคุยกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติที่รู้เรื่องนี้ก่อน เพราะยังใหม่กับเรื่องนี้ จากนั้น 1-2 วัน ถึงจะคุยกับ รมว.คลัง รวมถึงดูไปถึงมติ ครม.และข้าราชการที่เข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะต้องแบ่งประเภทการฟ้องร้อง เป็นนักการเมือง ข้าราชการ เอกชน ซึ่งอายุความคดีแตกต่างกัน ข้อหาอาจแตกต่างกัน ที่สำคัญต้องได้หลักฐานจาก ป.ป.ช.ด้วย

    “สมหมาย” ตั้ง กก.สอบยอดเจ๊งข้าว

    ด้านนายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังจะตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบเอกสารและข้อเท็จจริงโครงการรับจำนำข้าว เพื่อให้เป็น ไปตามหนังสือที่สำนักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช.ระบุ ว่ากระทรวงการคลังจะเป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษความเสียหายจากโครงการดังกล่าว ได้หารือกับนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯที่รับผิดชอบ กระทรวงการคลังขอเวลาทำงานให้ชัดเจน จะเร่งรีบไม่ได้ แม้ที่ ผ่านมาจะไม่เคยมีการเรียกร้องความเสียหายที่เกิดจากนโยบายของรัฐบาลมาก่อน แต่เป็นไปตามความรับผิดทางแพ่ง จะไล่สอบข้อเท็จจริงจากความรับผิดทางละเมิดก่อน กระบวนการสอบข้อเท็จจริงต้องใช้เวลา ตอนนี้กำลังดูเรื่องทางเทคนิค เพราะมีผู้ร่วมถูกกล่าวหากระทำความผิดหลายคน ความเสียหายจะพิจารณาจากอะไร จะเรียกร้องความเสียหายจากใครอย่างไร จะมีคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง หากพบว่าผิดจริง กระทรวงการคลังจะเรียกเงินจากผู้กระทำความผิดและหากผู้กระทำผิดไม่ชดใช้ค่าเสียหาย จะฟ้องแเพ่งต่อไป

    คลังปิดบัญชีขาดทุน 7 แสนล้าน

    นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยผลการประชุมคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลนับตั้งแต่เริ่มต้นโครงการปี 47 จนถึงสิ้นเดือน ก.ย.57 จำนวน 15 โครงการ ได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่า การดำเนินโครงการในช่วงเวลาดังกล่าวมีผลขาดทุนประมาณ 7 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 18,000 ล้านบาท จากที่ดำเนินการปิดบัญชีในช่วงเดือน พ.ค.57 โดยผลขาดทุนดังกล่าวมีขึ้นในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ 4 โครงการผลขาดทุนประมาณ 5.36 แสนล้านบาท ทั้งนี้ ที่ประชุมมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสรุปยอดระบายข้าวที่ชัดเจนอีกครั้ง เพราะตัวเลขการ ระบายข้าวของกระทรวงพาณิชย์ที่ยังคลาดเคลื่อนเล็กน้อย ก่อนกลับมารายงานคณะอนุกรรมการฯเพื่อสรุปและรายงานต่อนายกฯในสัปดาห์หน้า ส่วนกรณีพิจารณาเรียกค่าเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวตามการพิจารณาของ ป.ป.ช. อยู่ระหว่างพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณา จากนั้นจะเริ่มกระบวนการเรียกความเสียหาย

    “บิ๊กตู่” ฮึ่มก่อหวอดผิด ก.ม.ฟันไม่ยั้ง

    เมื่อเวลา 13.30 น.ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กล่าวภายหลังการประชุมร่วม คสช.-ครม.ถึงการประเมินสถานการณ์ทางการเมืองว่า เราก็เดินหน้าตามโรดแม็ป ส่วนเรื่องความมั่นคงก็ดูเรื่องความปลอดภัย ใครที่มีการเคลื่อนไหวแล้วผิดกฎหมายดำเนินคดีให้เต็มที่เท่านั้นเอง การเมืองคือการเมือง ตนไม่ใช่การเมือง อาจจะมองดูเป็นรัฐบาลมองดูเป็นการเมือง แต่ตนไม่ได้มาด้วยวิธีการเมือง ยังยืนยันเสมอว่าไม่ใช่นักการเมือง มาบริหารในช่วงเวลาที่มันวิกฤติด้วยวิธีพิเศษบวกปกติ ภายใต้แรงกดดันของสังคมของสื่อของต่างประเทศ แต่ยืนยันว่าไม่มีผลประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นไปคิดเอาว่าตนทำเพื่ออะไร

    ปัด “ทักษิณ” ต่อสายไล่ส่งจะไปไหนก็ไป

    ผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสข่าว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พยายามติดต่อพูดคุยกับนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า “ไม่รู้ ผมไม่รู้ผมไม่ยุ่ง จะไปไหนก็ไปเถอะไป จะไปไหนท่านก็ไปของท่านอยู่แล้ว อย่ามายุ่งกับผม เพราะผมก้าวหลุดพ้นกับดักพวกนี้ไปหมดแล้ว ไปว่ากันตามกฎหมาย อย่ามาเอาผมไปรบกับคนนั้นคนนี้ ผมขี้เกียจ ผมไม่เอาด้วยแล้ว ถามไม่พ้นสักที” เมื่อถามย้ำว่า แสดงว่าไม่มีการพยายามติดต่อเข้ามาใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า “ไม่มี” เมื่อถามว่า นายกฯเป็นอะไรหรือไม่ ดูเหมือนการให้สัมภาษณ์บางช่วงแสดงอาการท้อ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า “ไม่มีท้ออยู่แล้ว ช่วงนั้นพอดีน้ำลายจุกคอ ไม่มีอะไร ผมไม่ใช่หน้าดราม่า ไม่ใช่นักแสดง”

    โวยอยากติดกับดักเชิญตามใจ

    เมื่อถามว่า มั่นใจแค่ไหนว่าเมื่อเสร็จภารกิจจากการปฏิรูปทุกด้านแล้ว สถานการณ์ทางการเมืองจะสดใสและดีขึ้นกว่าเดิม พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า วันนี้การปฏิรูปยังไม่เริ่มเลย จะมาถามอะไร ทำไมมันช้าเกินไปหรืออย่างไร ตนก็คาดหวังว่าจะให้ทุกอย่างดีขึ้นกว่าเดิม ถ้าทำแล้วแย่กว่าเดิมจะทำไปทำไม แต่ปัญหาคือทุกคนจะต้องร่วมมือกับตน ไม่ว่าจะคิดจะทำหรือสั่งอย่างไร หรือแก้ไขอย่างไร แต่ถ้าทุกคนยังมุ่งจะกลับมาสู่ที่เดิมก็ไม่รู้จะทำอย่างไร คงต้องก้าวไปติดกับดักอยู่เช่นเดิมก็ตามใจ เมื่อถามว่า อุปสรรคอะไรที่ทำให้ คสช.เดินหน้าตามโรดแม็ปไม่ได้ พล.อ.ประยุทธ์ตอบติดตลกว่า “ผมไม่สบายล่ะมั้ง ทุกวันนี้ทำงานตลอดเวลาท่ามกลางอุปสรรคเยอะแยะ ทั้งปัจจัยภายนอก ภายในประเทศ ความร่วมมือของคนในประเทศ ทุกวันนี้ได้รับไปรษณียบัตรจากเด็กๆทำให้ชื่นใจ บางคนเขียนให้กำลังใจขอให้ลุงตู่สุขภาพแข็งแรง พักผ่อนบ้างนะคะลุงตู่ ทำไมเด็กมันรักผม แต่ผู้ใหญ่กลับไม่ชอบผมเลย”

    เค้นนักข่าวชมผลงานบ้าง

    ผู้สื่อข่าวถามว่า แล้วนายกฯเปิดช่องทางอะไรให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นบ้าง พล.อ.ประยุทธ์ เลี่ยงตอบคำถาม โดยขอให้ผู้สื่อข่าวลองพูดชมเชยการทำงานของตนเองบ้าง เมื่อผู้สื่อข่าวคนหนึ่งกล่าวชมว่า นายกฯแก้ปัญหาเรื่องการค้ามนุษย์ได้ดีกว่าทุกรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์พอใจและย้อนถามกลับอีกว่ามีเพียงเรื่องเดียวหรือที่ชม เมื่อผู้สื่อข่าวบอกว่ามีอีกหลายเรื่อง พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า “อย่างนี้สิ เขียนให้มันดีๆ อย่างนี้สิ”

    เมื่อถามย้ำว่า วันนี้ทัศนคติของนายกฯต่อสื่อมวลชนดีขึ้นหรือยัง พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า “ผมดีมาตลอดจากวันแรกจนถึงวันนี้ก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ผมเป็นคนรักเดียวใจเดียวอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อรักก็คือรัก แล้วผมถูกสอนมาว่าถ้าคนที่เคยรักกันอยู่แล้ว มันมีอะไรที่ผิดใจกันก็เติมความดีให้กับเขา ถึงแม้ว่าสื่อบางคนจะยั่วโมโหผมอยู่บ้าง ก็เพิ่มความดีให้กับสื่ออื่นๆ จะชดเชยแล้วผมก็จะโกรธลดลง”

    เล็งเปลี่ยนอีเวนต์ข้างทำเนียบฯ

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนที่นายกฯจะเดินกลับขึ้นไปบนห้องทำงานบนตึกไทยคู่ฟ้า พล.อ.ประยุทธ์ ได้พูดคุยกับผู้สื่อข่าวสอบถามความเห็นเกี่ยวกับการจัดตลาดนัดกล้วยไม้คุณภาพและตลาดน้ำคลองผดุงกรุงเกษมที่จะสิ้นสุดลงวันที่ 1 มี.ค. โดยกล่าวว่า การจัดงานดังกล่าวดีหรือไม่ แม่ค้าบางรายเริ่มจะพายเรือกันไม่ไหว ปวดแขน สามีอยากให้กลับบ้าน ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะขายสินค้าอื่นอีกหรือไม่ อาจจะขายข้าวพันธุ์ต่างๆ พืชผัก ผลไม้ หรืออาจจะขายวัว ขายควายบ้างก็ได้ แต่ตอนนี้ยังไม่ได้คิด อยากให้ขายอะไรก็บอกมา

    “บิ๊กตู่” บอกมีคนยั่วให้ใช้กฎเหล็ก

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมร่วม ครม.และ คสช.ก่อนการประชุมนายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รมว.วัฒนธรรม นำเยาวชนเข้าพบนายกฯ เพื่อรณรงค์งานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในวันมาฆบูชา ประจำปี 58 โดยเยาวชนร้องเพลงวันมาฆบูชา ให้นายกฯฟัง พอจบจึงหันมาถามสื่อมวลชนว่า “รู้ไหมวันมาฆบูชาสำคัญอย่างไร” โดยนักข่าวตอบว่าพระภิกษุ 1,250 รูป มาประชุมโดยมิได้นัดหมาย เมื่อได้คำตอบนายกฯก็อมยิ้ม จากนั้นเยาวชนได้ร้องเพลงค่านิยม 12 ประการ เมื่อถึงท่อนท้ายของเพลงที่ว่า “ขอให้คนไทยทุกคนรักกันและสามัคคีกัน” พล.อ.ประยุทธ์ได้หันหน้ามาทางผู้สื่อข่าวและกล่าวอย่างเสียงดังว่า “ฟังแล้วขนลุก ลุงไม่เคยใช้อำนาจบาตรใหญ่ แต่มีคนชอบยั่วยุให้ใช้อยู่เรื่อย” ผู้สื่อข่าวถามว่าเป็นใคร พล.อ.ประยุทธ์ไม่ตอบ เพียงแค่ยิ้มแล้วเดินเข้าห้องประชุม

    เร่งความถี่ประชุมร่วมแม่น้ำ 5 สาย

    พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ แถลงว่า พล.อ.ประยุทธ์บอกว่าการประชุมร่วม คสช.และ ครม.ครั้งต่อไปจะเปลี่ยนไปประชุมที่สวนสนประดิพัทธ์ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ในวันที่ 13 มี.ค. เพราะเข้าใจและเห็นใจ ครม.แต่ละคนที่ตั้งใจทำหน้าที่ อยากให้มีการเปลี่ยนสถานที่บ้าง ท่านยังเปรยติดตลกว่า การไปครั้งนี้เหมือนไปเข้าแคมป์เดวิด ช่วงบ่ายจะมีการประชุม และช่วงเย็นมีงานเลี้ยงสังสรรค์เล็กๆน้อยๆ วันรุ่งขึ้นอาจจะมีการเล่นกีฬารวมกับ ครม. อีกทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ยังระบุว่า ต่อไปอาจจะขยายการประชุม ครม.และ คสช.เป็น 2 ครั้งต่อเดือน เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์มากขึ้น และจะประชุมร่วมกับหน่วยงานอื่น ที่น่าจะหมายถึงแม่น้ำ 5 สาย ให้ถี่ขึ้นด้วย อย่างไรก็ตามในที่ประชุมได้เสนอให้มีการจัดระเบียงสิ่งปลูกสร้าง แม่น้ำลำคลองในเขตพื้นที่ กทม. ที่พบ 9 คลองต้องปรับปรุงแก้ไข เบื้องต้นจะนำร่องจัดระเบียบที่คลองลาดพร้าว

    ป.ป.ช.ฟันอดีต 250 ส.ส.แก้ รธน.มิชอบ

    อีกด้าน เมื่อเวลา 09.30 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จ.นนทบุรี นายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธาน ป.ป.ช. เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อพิจารณากรณีการถอดถอนอดีต ส.ส. 258 คน กรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องที่มา ส.ว.โดยมิชอบ ภายหลังการประชุมเป็นเวลาเกือบ 6 ชั่วโมง นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. แถลงว่า ที่ประชุม ป.ป.ช.ได้พิจารณาสำนวนการไต่สวนคดีถอดถอนอดีต ส.ส. 258 คน แต่ยังไม่ใช่การลงมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ เป็นเพียงการลงมติในนามองค์คณะไต่สวนที่จะส่งมติให้ที่ประชุม ป.ป.ช.ชุดใหญ่พิจารณาในวันที่ 3 มี.ค. ซึ่งองค์คณะไต่สวนที่มีคณะกรรมการ ป.ป.ช.ทั้ง 9 คน เป็นองค์คณะได้พิจารณาสำนวนถอดถอนดังกล่าวแล้ว มีมติเห็นว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 250 คน มีมูลความผิดฐานส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ปี 2550 มาตรา 291 (1) วรรคหนึ่ง ขณะเดียวกัน ยังมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีก 3 ราย ที่เสียชีวิตไปแล้ว แม้จะเห็นว่ามีความผิด แต่ความผิดเป็นอันระงับไป เนื่องจากผู้ถูกกล่าวหาถึงแก่ความตาย นอกจากนี้ ยังมีอดีต ส.ส.อีก 2 คน ที่เห็นว่าข้อกล่าวหาไม่มีมูลให้ยกคำร้องให้ข้อกล่าวหาตกไป

    3 รายโดนสองเด้งถอดถอน-อาญา

    นายวิชากล่าวว่า จากการไต่สวนยังพบว่า มีอดีต ส.ส.อีก 3 ราย ที่มีความผิดทั้งคดีถอดถอนและคดีอาญา ในกรณีการเสียบบัตรแทนกัน ซึ่งมีภาพหลักฐานชัดเจนว่าเป็นใครบ้าง หลังจากนี้จะเรียกอดีต ส.ส.ทั้ง 3 คน มาแจ้งแก้ข้อกล่าวหาในคดีอาญา เมื่อพิจารณาคดีอาญาเสร็จแล้ว ก็จะส่งสำนวนไปให้อัยการสูงสุดพิจารณาต่อไป ส่วนเหตุผลของการลงมติถอดถอนอดีต ส.ส.250 ราย เนื่องจากเห็นว่า อดีต ส.ส.เหล่านี้มีพฤติการณ์รับทราบในการปลอมแปลงร่างรัฐธรรมนูญที่มีการรับหลักการในวาระแรก ที่ไม่ตรงกับฉบับที่มีการเข้าชื่อขอเสนอแก้ไข

    สำหรับอดีต ส.ส. 3 รายที่ถูกดำเนินคดีอาญาและถอดถอนได้แก่ 1.นายอุดมเดช รัตนเสถียร อดีต ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย ที่เป็นผู้นำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีเนื้อหาไม่ตรงกับฉบับที่มีการเข้าชื่อเสนอขอแก้ไขไปเปลี่ยนในชั้นที่มีการรับหลักการ 2.นายนริศร ทองธิราช อดีต ส.ส.สกลนคร กรณีการเสียบบัตรแทนกัน 3.นายคมเดช ไชยศิวามงคล อดีต ส.ส.กาฬสินธุ์ พรรคเพื่อไทย กรณีการเสียบบัตรแทนกัน อย่างไรก็ตาม ในการประชุม ป.ป.ช.ครั้งนี้ ที่ประชุม ป.ป.ช.ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาคดีอาญา เพิ่มเติมกับอดีต ส.ส.อีก 1 คน เนื่องจากพบหลักฐานว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียบบัตรแทนกันคือ นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร อดีต ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย เพื่อให้ที่ประชุม ป.ป.ช.ดำเนินการไต่สวนต่อไป ส่วนอดีต ส.ส.2 คน ที่ไม่ถูกลงมติถอดถอนคือนายยุรนันท์ ภมรมนตรีและนายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ เนื่องจากลงมติในวาระรับหลักการวาระที่ 1 อย่างเดียว

    แจ้งข้อหา “มาร์ค-เทือก” สั่งสลายแดง

    นายวิชากล่าวอีกว่า ที่ประชุม ป.ป.ช.ได้พิจารณาคดีถอดถอนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี กรณีการสั่งการสลายการชุมนุมกลุ่ม นปช. ระหว่างวันที่ 10 เม.ย.-19 พ.ค.2553 จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากนั้น ที่ประชุมเห็นว่า ภายหลังจากที่มีการใช้กำลังทหารขอคืนพื้นที่ในวันที่ 10 เม.ย.53 แล้ว ปรากฏว่ามีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก การที่ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองซึ่งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและผู้มอบนโยบายในการขอคืนพื้นที่ กลับละเว้นไม่สั่งระงับยับยั้ง หรือทบทวนวิธีการ หรือปรับรูปแบบการใช้กำลังทหารและวิธีการควบคุมการปฏิบัติงานให้รัดกุมยิ่งขึ้น รวมทั้งไม่ได้ปรับแผนปฏิบัติให้สอดคล้องประสานในระดับนโยบาย การบังคับบัญชาและการปฏิบัติในพื้นที่ในการใช้กำลังทหารขอคืนพื้นที่จากกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งไม่ได้มีเฉพาะกลุ่มที่ใช้ความรุนแรงและอาวุธ แต่ยังมีกลุ่มที่เข้าร่วมชุมนุมโดยปราศจากอาวุธ และประชาชนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการชุมนุม จนเป็นเหตุให้นายพัน คำกอง ด.ช.คุณากร ศรีสุวรรณ เสียชีวิต และนายสมร ไหมทอง ได้รับบาดเจ็บสาหัส และประชาชนอื่นๆเสียชีวิตจำนวนมาก ดังที่ปรากฏในคำสั่งไต่สวนชันสูตรพลิกศพของศาลว่า ความตายเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานทหาร

    เรียกแก้ข้อกล่าวหาใน 15 วัน

    นายวิชากล่าวว่า ดังนั้นที่ประชุม ป.ป.ช.จึงมีมติเอกฉันท์ว่า การกระทำของนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพเป็นกรณีมีพฤติการณ์ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ อันเป็นเหตุแห่งการถอดถอนผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองออกจากตำแหน่ง หลังจากนี้ ป.ป.ช.จะทำหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองคนรับทราบข้อกล่าวหา เพื่อให้มาแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน หลังจากได้รับหนังสือต่อไป ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีการถอดถอนคดีสลายการชุมนุมกลุ่มเสื้อแดง นอกจากนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพแล้ว ยังมีชื่อของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีต ผบ.ทบ.รวมอยู่ด้วย ป.ป.ช.มีมติอย่างไร นายวิชาตอบว่า ในส่วนเจ้าหน้าที่รัฐรายอื่นในฐานะผู้ปฏิบัติจะมีความรับผิดเพียงใด อยู่ระหว่างดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงต่อไป

    ตั้งอนุฯสอบอธิบดีโยธาซื้อไมค์แพง

    นายวิชากล่าวว่า ส่วนการตรวจสอบการจัดซื้อไมโครโฟนในห้องประชุม ครม. มีราคาแพงเกินจริงนั้น ที่ประชุม ป.ป.ช.เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รมต.ประจำสำนักนายกฯ ไม่ได้กระทำความผิดหรือมีส่วนร่วมการจัดซื้อในโครงการปรับปรุงซ่อมแซม อาคารบัญชาการ 1 และ 2 รวมทั้งระบบโสตทัศนูปกรณ์ หรือไมโครโฟนแพงแต่อย่างใด เพราะเป็นเพียงผู้อนุมัติให้ซ่อมแซมอาคารเท่านั้น ที่ประชุมจึงไม่รับเรื่องไว้ไต่สวนข้อเท็จจริง อย่างไรก็ตาม จากการแสวงหาข้อเท็จจริงพบว่า นายมณฑล สุดประเสริฐ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง มีพฤติการณ์มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการในการจัดซื้อระบบโสตทัศนูปกรณ์ ร่วมกับคณะกรรมการกำหนดราคากลาง จำนวน 5 ราย และคณะกรรมการจัดจ้างและจัดซื้อครุภัณฑ์งานติดตั้งระบบห้องประชุมทำเนียบรัฐบาล จากกรมโยธาธิการ จำนวน 5 ราย ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการคำนวณราคากลาง และต่อรองราคาที่ไม่เป็นไปตามระเบียบราชการ เอื้อประโยชน์ให้เอกชนบางรายเข้ามาปรับปรุงระบบเสียง ระบบไฟฟ้า ซึ่งไม่ดำเนินการตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 จึงมีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงคดีดังกล่าว มีนายประสาท พงษ์ศิวาภัย เป็นประธานคณะอนุกรรมการไต่สวน

    “มณฑล” ก้มหน้ารับชะตากรรม

    ด้านนายมณฑล สุดประเสริฐ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติให้ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนกรณีที่คณะทำงานแสวงหาข้อเท็จจริงเรื่องร้องเรียนให้มีการตรวจสอบการจัดซื้อไมโครโฟนในห้องประชุมคณะรัฐมนตรี ชั้น 5 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ว่า รับทราบมติดังกล่าวแล้ว ได้รวบรวมเอกสารหลักฐาน และพร้อมชี้แจงเท็จจริง ถือว่าเป็นอำนาจหน้าที่ ที่ผ่านมา ป.ป.ช.ยังไม่ได้รับข้อมูลรายละเอียดจากตนเลย อย่างไรก็ตาม การพิจารณาจะออกมาเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของคณะอนุกรรมการไต่สวนฯ และตนก็ยอมรับผลการพิจารณาดังกล่าว

    พท.ฉะมาตรฐาน ป.ป.ช.ชอบกุเรื่อง

    นายอำนวย คลังผา อดีต ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จากกรณีที่ ป.ป.ช.เคยจำหน่ายคดีการถอดถอนอดีต ส.ส. 310 คนออกจากตำแหน่ง กรณีลงมติ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมวาระ 3 โดยให้เหตุผลว่ารัฐธรรมนูญปี 50 สิ้นสุดลง แต่วันนี้ ป.ป.ช.เตรียมจะยื่นเรื่องถอดถอนอดีต ส.ส. กรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มา ส.ว.ให้ สนช.พิจารณา เหมือน ป.ป.ช.สร้างเรื่องขึ้นมาตลอด อย่างไรก็ตาม อยากให้ สนช.ใช้ ดุลพินิจพิจารณาเรื่องการถอดถอน และหวังว่าคงจะได้รับความยุติธรรมจากทุกฝ่าย

    “เต้น” อัดหลักยุติธรรมถูกทำลายสิ้น

    นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. โพสต์เฟซบุ๊กว่า ที่ผ่านมาร่วมสิบปีหลักการพื้นฐานที่ค้ำยันให้คนอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข เช่น หลักประชาธิปไตยซึ่งหมายถึงสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาคเท่าเทียม เพื่อยืนยันว่า “คนเท่ากัน” และหลักความยุติธรรม ถูกทำลายจนแทบไม่เหลือสภาพ เราเห็นการสถาปนา “คนดี” ขึ้นมามีอิทธิพลเหนือทุกหลักการ ทุกกฎกติกา บ้านเมืองนี้ใครลุกมาด่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯหรือคนที่ถูกขีดเส้นว่าเป็นพวก พ.ต.ท.ทักษิณก็เป็นคนดีได้อัตโนมัติ นายกฯคนหนึ่งทำโครงการจำนำข้าวช่วยชาวนาตามนโยบายถูกเล่นงานรัวเป็นปืนกล นายกฯอีกคนประกันราคายังอยู่สบาย คนเรียกร้องเลือกตั้งถูกดำเนินคดี พวกขวางเลือกตั้งไปไหนมาไหนมีเจ้าหน้าที่คอยบริการ กฎอัยการศึกจับทุกคนที่ชุมนุมแต่พุทธะอิสระบอกทุกครั้งขออนุญาตแล้ว ไม่รู้ขอใคร พระรูปหนึ่งรับเงินบริจาคภายหลัง คืนให้วัดแต่ถือว่าความผิดสำเร็จ นายกฯอีกคนสร้างบ้านอยู่บนเขายายเที่ยงหลายปีภายหลังทุบบ้านคืนที่ให้หลวง ทุกอย่างจบไม่ผิดอะไร ตัวอย่างเยอะจนยกไม่ไหว เห็นแบบนี้แล้วนายกฯอย่าเพิ่งหนักใจเลย เพราะตามดูเนื้อหากติกาที่ร่างกันอยู่จะหนักยิ่งกว่านี้

    แฉละเมิดเสรีภาพในไทยรุนแรง

    สำนักข่าวบลูมเบิร์ก สื่อของอังกฤษ รายงานอ้างอิงคำให้สัมภาษณ์ของนายแบรด อดัมส์ ผู้อำนวยการองค์กรระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน “ฮิวแมนไรท์วอทช์” ประจำภูมิภาคเอเชีย โดยนายอดัมส์ระบุว่า คำตัดสินลงโทษจำคุกผู้ต้องหาหญิงและชายทั้ง 2 รายในคดีอาญา มาตรา 112 ในฐานะนักแสดงในละครเรื่อง “เจ้าสาวหมาป่า” จัดแสดงที่มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ตั้งแต่เดือน ต.ค.56 เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง

    ที่แสดงให้เห็นว่าสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นในประเทศไทยกำลังถูกละเมิดขั้นร้ายแรง เป็นรอยด่างอีกประการหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของประเทศไทยในสายตาโลก แสดงให้เห็นให้ว่ารัฐบาลทหารไร้ซึ่งความอดทน ขณะเดียวกัน นายรูเพิร์ต แอ็บเบิตต์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก ขององค์กรแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน ระบุว่า ผู้ที่ถูกจับกุมและคุมขัง เพียงเพราะแสดงความคิดเห็นโดยใช้วิธีการอย่างสันติ ถือเป็นนักโทษทางความคิดในทัศนะของแอมเนสตี้ฯทั้งสิ้น

    อธิการ มธ.เซ็นไล่ออก “อ.สมศักดิ์”

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 23 ก.พ. นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ลงนามในคำสั่ง มธ.ที่ 356/2558 เรื่องลงโทษไล่ออกจากราชการต่อนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์สังกัดภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เลขที่อัตรา 2793 กระทำผิดวินัยร้ายแรง มีพฤติการณ์จงใจไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการตามระเบียบ แบบแผนของทางราชการในเรื่องการลา และการปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา ซึ่งสั่งในหน้าที่ราชการโดยชอบด้วยกฎหมาย ทำให้มหาวิทยาลัยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงและละทิ้งหน้าที่ราชการติดต่อในคราวเดียวกันเกินกว่า 15 วัน โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร และมีพฤติการณ์อันแสดงถึงความจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการ ตั้งแต่วันที่ 19 ธ.ค. 57 จนถึงปัจจุบัน

    เปิดช่องกลุ่มการเมืองลง ลต.

    เมื่อเวลา 09.00 น. โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ พัทยา จ.ชลบุรี คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ มีการประชุมสัญจรเป็นวันที่ 2 มีนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ เป็นประธาน เพื่อพิจารณาหมวด 1 ผู้นำการเมืองที่ดีและระบบผู้แทนที่ดี เริ่มในมาตรา 76 ซึ่งเป็นการประชุมลับ จากนั้นได้เริ่มประชุมในหมวดที่ 3 ว่าด้วยเรื่องรัฐสภา ระบบการเลือกตั้ง

    ต่อมานายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษกคณะ กมธ.ยกร่างฯ แถลงความคืบหน้าการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราว่า ที่ประชุมพิจารณาจนจบหมวด 1 ผู้นำการเมืองที่ดีและระบบผู้แทนที่ดี มีสาระสำคัญในมาตรา 76 ที่เปิดช่องให้จัดตั้งกลุ่มการเมืองของคณะบุคคลที่รวมกันเป็นสมาคม มีวัตถุประสงค์ทางการเมืองไปจดแจ้งกับ กกต.ลงสมัครรับเลือกตั้งได้ เพื่อให้ภาคประชาชนสามารถทำงานการเมืองและพัฒนาเป็นพรรคการเมืองในที่สุด และยังสอดรับกับรูปแบบการเลือกตั้งแบบผสมที่สามารถรองรับกลุ่มการเมืองและพรรคเล็กให้มีส่วนร่วมได้

    อุดช่องโหว่สุญญากาศรัฐสภา

    นายคำนูณกล่าวต่อว่า จากนั้นพิจารณาหมวด 3 รัฐสภา มีการเพิ่มมาตรการเพื่ออุดช่องว่างที่เคยเป็นปัญหาในอดีต โดยมาตรา 97 ที่บังคับให้ต้องมีประธานรัฐสภาปฏิบัติหน้าที่ทุกช่วงเวลา โดยให้รองประธานสภาผู้แทนฯหรือรองประธานวุฒิสภาทำหน้าที่ประธานรัฐสภาแทนตามลำดับ ในกรณีที่ไม่มีประธานรัฐสภาและประธานวุฒิสภาปฏิบัติหน้าที่ จากเดิมที่ให้เฉพาะประธานสภาผู้แทนฯและประธานวุฒิสภาทำหน้าที่เท่านั้น ส่วนในมาตรา 100 ให้ ส.ส.หรือ ส.ว.จำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 4 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา มีสิทธิเข้าชื่อร้องต่อประธานสภาของตน หากเห็นว่า ส.ส.หรือ ส.ว.ผู้ใดกระทำการอันเป็นการเสื่อมเสียแก่เกียรติศักดิ์ของการเป็น ส.ส.หรือ ส.ว.โดยเสียงถอดถอนใช้จำนวน 3 ใน 4 ของสมาชิกทั้งหมด

    บังคับออก ก.ม.ลูก–ไม่ทำเจออาญา

    ด้านนายบรรเจิด สิงคะเนติ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า ในมาตรา 102 เป็นการแก้ปัญหาจากรัฐธรรมนูญปี 40 และปี 50 ที่ไม่สามารถผลักดัน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ และกฎหมายต่างๆออกมาได้ เนื่องจากไม่มีบทบังคับให้ทำ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญจึงวางหลักการบังคับให้ผู้มีหน้าที่เสนอหรือผู้มีหน้าที่พิจารณากฎหมาย หากไม่ดำเนินการหรือไม่ทันภายในเวลาอันสมควร ให้ถือว่าบุคคลที่เกี่ยวข้องละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ในกรณีที่เกิดความเสียหาย ผู้เสียหายย่อมฟ้องรัฐให้รับผิดชอบค่าเสียหายได้

    ซุ่มเงียบเพิ่ม ส.ส.ไม่เกิน 470 ที่นั่ง

    พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช โฆษก กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ แถลงว่า มาตรา 103 กำหนดให้ ส.ส.มีไม่น้อยกว่า 450 คน แต่ไม่เกิน 470 คน มาจาก ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 250 คน โดย ส.ส. 1 คนมาจากประชากร 260,000 คน ส.ส.บัญชีรายชื่อมีไม่น้อยกว่า 200 คน แต่ไม่เกิน 220 คน โดยประชาชนจะต้องออกเสียงเลือกตั้งด้วยวิธีลงคะแนนโดยลับแต่ละประเภทแยกกัน โดยระบบอิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีอื่น มาตรา 107 การเลือกตั้ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อแบบ (Open List) หรือให้ประชาชนเลือก “คนที่รัก พรรคที่ชอบ” เลือกผู้ที่อยู่ในบัญชีดังกล่าว 1 คน ได้รับเลือกเป็น ส.ส. เพื่อเป็นการจัดอันดับความนิยมตามความต้องการของประชาชน ยกตัวอย่าง เช่น พรรค ก เสนอรายชื่อเรียงลำดับ 1-5 เพื่อให้ประชาชนรับทราบว่ามีผู้สมัครคนใดลงบ้าง แต่ภายหลังการเลือกตั้งกลับพบว่าหมายเลข 5 มีคะแนนนิยมมากที่สุด ดังนั้น เมื่อมีการคิดคำนวณ ส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รายชื่อลำดับที่ 5 จะเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 ของพรรค และคนที่จะได้เป็น ส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อลำดับถัดไป จะเรียงลำดับตามความนิยมของประชาชนที่เลือกเข้ามา

    ลดอำนาจพรรคใหญ่–อุ้มพรรคเล็ก

    พล.อ.เลิศรัตน์กล่าวอีกว่า ในมาตรา 108 การกำหนดเขตเลือกตั้ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ แบ่งพื้นที่ประเทศออกเป็น 6 ภาค ประกอบด้วย ภาคเหนือ ภาคกลางตอนบน ภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออก เฉียงเหนือตอนบน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างและภาคใต้ โดยในแต่ละพื้นที่มี ส.ส.ภาคละประมาณ 30-35 คน ขณะที่การคิดคำนวณ ส.ส.ของแต่ละพรรค การเมือง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะเป็นผู้ดำเนินการนับคะแนนโดยจะยึดระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสม ที่คำนึงถึงคะแนนเสียงของประชาชนตามความเป็นจริงและเปิดโอกาสให้พรรคเล็กสามารถเข้ามาสู่สภาได้มากขึ้น

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุม กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ใช้เวลาถกเถียงในระบบ “Open List” ค่อนข้างมาก โดย กมธ.ยกร่างฯหลายคนมองว่าระบบนี้จะทำลายพรรคการเมืองใหญ่ ทำให้พรรคอ่อนแอ

    คศป.บุกคุกเยี่ยมนักโทษการเมือง

    เมื่อเวลา 10.00 น. ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ (ลาดยาว) กทม. นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ประธานคณะกรรมการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดอง สภาปฏิรูปแห่งชาติ (คศป.) พร้อมคณะผู้แทนเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังที่มีคดีอันเกี่ยวเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง คดีตั้งแต่ปี 52 ถึงปี 57 เพื่อรับฟังพูดคุยสอบถามความเป็นอยู่บนพื้นฐานหลักมนุษยธรรม ในการจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบาย เพื่อเสริมสร้างความปรองดอง เกี่ยวกับผู้ที่ได้รับผลกระทบทางคดีอันเนื่องมาจากการชุมนุมทางการเมือง ในการเข้าเยี่ยมผู้ต้องหาครั้งนี้ไม่อนุญาตให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปร่วมสังเกตการณ์เด็ดขาด ใช้เวลาเข้าเยี่ยมและพูดคุยกว่า 2 ชั่วโมง

    แม่น้องเกดหนุนแนวทางปรองดอง

    นางพะเยาว์ อัคฮาด มารดาของ น.ส.กมลเกด อัคฮาด หรือน้องเกด ผู้ได้รับผลกระทบกับเหตุการณ์ทางการเมืองเดินทางมาที่เรือนจำด้วยกล่าวว่า ที่ผ่านมาคณะกรรมการสร้างความปรองดอง ตั้งมาเหมือนเสือกระดาษเน้นแก้ความขัดแย้งฝ่ายการเมืองมากกว่าความขัดแย้งของประชาชน ไม่จริงใจแก้ปัญหาให้เกิดการปรองดองอย่างแท้จริง แต่ คศป.มีความคิดแตกต่างจากคณะสร้างปรองดองอื่น ลงพื้นที่ทำจริง แก้ความขัดแย้งสร้างความปรองดองกลุ่มประชาชนก่อน เร่งเยียวยากลุ่มบุคคลที่ได้รับผลกระทบให้เกิดความเข้าใจ จากนั้นจึงสร้างความเข้าใจของประชาชนที่มีความขัดแย้งกัน เพราะแม้ออกกฎหมายมามากมายแค่ไหน ก็ไม่เกิดการปรองดองได้ แต่ต้องลงปฏิบัติให้เกิดความเข้าใจกันที่ไม่ใช่คุยกันในห้องประชุมเท่านั้น สิ่งนี้คือการแก้ความขัดแย้งอย่างจริงจัง

    เร่งช่วยนักโทษชายใกล้เสีย 2 ดวงตา

    นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ กล่าวภายหลังเข้าเยี่ยมและพูดคุยว่า คศป.ได้เยี่ยม 19 ราย อีก 2รายพ้นโทษแล้ว บรรยากาศพูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบ และรับประทานอาหารเที่ยงร่วมกัน แต่น่าสังเกตผู้ต้องขังคดีทางการเมืองตั้งแต่การชุมนุมปี 49-57 มีทั้งกลุ่มชุมนุมเสื้อเหลืองและเสื้อแดง ทุกคน ไม่มีแบ่งฝ่าย แต่กลับดูแลซึ่งกันและกัน เพราะถูกจำคุก มีความสำนึกผิด จนลืมความโกรธแค้นกันมาก่อนหน้านี้ไปแล้ว ต่างช่วยเหลือกันให้ก้าวพ้นโทษเร็วที่สุด และพวกเขาเสนอเร่งช่วยเหลือด่วน คือ ช่วยผู้ต้องขังชายอายุ 35 ปี กำลังจะเสียดวงตาทั้ง 2 ข้าง จากการถูกสะเก็ดระเบิดเมื่อปี 53 เบื้องต้นประสานผู้บังคับบัญชาการเรือนจำกรุงเทพ ให้นำตัวไปรักษาเร่งด่วนแล้ว

    ตั้งแท่นขออภัยโทษนักโทษการเมือง

    นายเอนกกล่าวอีกว่า คศป.ยังช่วยเหลือเร่งด่วนบุคคลกลุ่มนี้ คือ เรื่องการขออภัยโทษเป็นกรณีพิเศษเฉพาะบุคคล รายละเอียดขั้นตอนต้องประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงฝ่ายนักกฎหมายอีกครั้ง เพื่อสร้างความปรองดอง ส่วนการนิรโทษกรรมไม่ขอพูด เพราะอยู่ในขั้นตอนยกร่างรัฐธรรมนูญ ร่างกฎหมายสร้างความปรองดองแห่งชาติจะเร่งให้เสร็จในกรอบเวลา 2 เดือน จากนี้จะไปเยี่ยมผู้ต้องขังคดีการเมืองต่างจังหวัดด้วย รวมทั่วประเทศมีประมาณ 200 คน

    วิป สนช.แจงคิวสอย 38 อดีต ส.ว.

    ที่รัฐสภา นพ.เจตน์ ศิรธนานนท์ โฆษกคณะ กรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วิป สนช.) แถลงภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมได้หารือถึงขั้นตอนการประชุม สนช.ในวันที่ 25 ก.พ. เพื่อดำเนินกระบวนการถอดถอน 38 อดีต ส.ว. ตามที่ ป.ป.ช.ได้ชี้มูลความผิดเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มาของ ส.ว.โดยมิชอบ โดยจะเป็นวันแถลงเปิดสำนวนโดย ป.ป.ช. และแถลงเปิดสำนวนของฝ่ายผู้ถูกร้อง ที่มีผู้แถลง 4 คน คือ นายวิทยา อินาลา อดีต ส.ว.นครพนม นายสิงห์ชัย ทุ่งทอง อดีต ส.ว.อุทัยธานี นายกฤช อาทิตย์แก้ว อดีต ส.ว.กำแพงเพชร และนายดิเรก ถึงฝั่ง สปช. ในฐานะอดีต ส.ว.นนทบุรี เป็นผู้แถลงสรุปข้อกล่าวหาจากนั้นจะตั้งคณะกรรมาธิการซักถามจำนวน 9 คน และในวันที่ 5 มี.ค. จะเป็นวันที่คณะกรรมาธิการซักถามฯดำเนินการตามกระบวนการซักถาม โดยผู้ร้องและผู้ถูกกล่าวหาต้องตอบชี้แจง จากนั้นอีกหนึ่งสัปดาห์จะเป็นวันแถลงปิดคดีในวันที่ 12 มี.ค. และลงมติวันที่ 13 มี.ค.

    รัฐชะลอสัมปทานน้ำมันรอแก้ ก.ม.

    อีกเรื่อง ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. กล่าวถึงความคืบหน้าปัญหาการคัดค้านสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ว่า ในที่ประชุม คสช.-ครม.หารือกันแล้วว่าให้แก้กฎหมายให้เรียบร้อยก่อนจะเดินหน้าต่อไป ต้องพูดคุยกันต่อ ไม่ใช่แก้กฎหมายเพียงอย่างเดียว วันที่ 16 มี.ค. จะยังไม่มีการเปิดให้ยื่นสัมปทานชะลอไปก่อน คือเลื่อนไป สรุปว่าแก้กฎหมายก่อนถึงจะทำอะไรได้ จะแก้ได้หรือไม่ต้องไปว่ากันในชั้นกรรมาธิการ คณะกรรมการร่วมที่ตั้งมาก็คุยกันต่อ ต้องไปดูว่ามีข้อขัดข้องตรงไหน 2-3 วิธีทำได้หรือไม่อะไรดีกว่า และไม่ได้มีกรอบเวลา กฎหมายเสร็จเมื่อไหร่ก็ทำเมื่อนั้น เร็วที่สุด 3 เดือนก็น่าจะได้ เมื่อการเสียเวลาเกิดขึ้นถ้ามีความผิดพลาด เสียประโยชน์ คนคัดค้านต้องรับผิดชอบ ได้สั่งให้บันทึกไว้หมดแล้วว่าใครมีความคิดเห็นอย่างไร ทุกคนต้องรับผิดชอบกับรัฐด้วย ถ้าเอกชนไม่เชื่อถือก็ไม่ใช่ความผิดตนแล้ว ประชาชนก็อย่าไปให้เขาปลุกเร้าออกมาบนถนน เพราะผิดกฎหมาย ไม่อยากให้เดือดร้อน

    กก.ร่วมประเดิมถกนัดแรก 26 ก.พ.

    พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ แถลงภายหลังการประชุม ครม.ถึงรายชื่อคณะกรรมการร่วมเพื่อพิจารณาหาข้อยุติเกี่ยวกับการเดินหน้าเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 ว่า คณะกรรมการประกอบด้วย ฝ่ายกระทรวงพลังงาน 6 คน ได้แก่ 1.นายคุรุจิต นาครทรรพ รองปลัดกระทรวงพลังงาน 2.นายมนูญ ศิริวรรณ สมาชิก สปช. 3.นายพล ธีรคุปต์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายภาษี ปิโตรเลียม 4.นายประภาส คงเอียด ที่ปรึกษากฎหมายกระทรวงการคลัง 5.นายไกรฤทธิ์ นิลคูหา อดีตอธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน และ 6.นายรักไทย บูรพ์ภาค ขณะที่ ฝ่ายเห็นแย้งเบื้องต้นประกอบด้วย 1.น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ 2.ม.ล.กรกสิวัฒณ์ เกษมศรี 3.น.ส.รสนา โตสิตระกูล 4.นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ 5.นายวีรวัฒน์ อัตถากร และ 6.นายนพ สัตยาศัย โดยทั้งสองฝ่ายจะต้องมีสัดส่วนที่เท่ากัน ส่วนประธานคณะกรรมการนั้นคงไม่มีความจำเป็นเนื่องจากไม่มีอำนาจตัดสินใจใดๆ นอกจากนี้จะมีเจ้าหน้าที่จากสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นโฆษกคณะกรรมการฯ คาดว่าจะประชุมครั้งแรกในวันที่ 26 ก.พ. เบื้องต้นจะใช้ทำเนียบรัฐบาลเป็นสถานที่ประชุม

    “ณรงค์ชัย” ป้อง ก.ม.เดิมไม่ล้าสมัย

    ด้านนายณรงค์ชัย อัครเศรณี รมว.พลังงาน กล่าวว่า ในที่ประชุม ครม.ไม่ได้หารืออย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบ ที่ 21 จุดยืนของกระทรวงพลังงานยังคงสนับสนุนการเดินหน้าเปิดสัมปทานปิโตรเลียมพลังงาน เพื่อความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ ส่วนจะมีการแก้ไขกฎหมายสัมปทานปิโตรเลียมก่อนเปิดสัมปทานหรือไม่ คงต้องรอดูข้อสรุปอีกครั้ง ยืนยันว่า พ.ร.บ.ปิโตรเลียมไม่ใช่กฎหมายที่ล้าสมัย เพราะเป็นกฎหมายปรับปรุงมาแล้วถึง 4 ครั้ง และการเปิดสัมปทานรอบนี้ก็วางเงื่อนไขว่าในแปลงสัมปทานขนาดใหญ่ในแปลงหมายเลข D3-D6 รัฐบาลสามารถจะเจรจาผลประโยชน์เพิ่มเติมได้ ซึ่งเอกชนก็ทราบดีอยู่แล้ว

    “อภิสิทธิ์” พร้อมชี้แจงเหตุสลายม็อบ

    วันเดียวกัน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ได้รับทราบมติ ป.ป.ช.ที่แจ้งข้อกล่าวหาในกรณีเหตุการณ์ปี 53 แล้ว ยอมรับกระบวนการตรวจ สอบและพร้อมจะให้ความร่วมมือชี้แจงข้อกล่าวหา โดยจะนำเอาข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องยืนยันความบริสุทธิ์และพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองว่า ได้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และตามขั้นตอนของกฎหมายทุกประการ เพื่อคืนความปกติสุขให้สังคมในสถานการณ์ที่มีการใช้อาวุธและมีการก่อการร้ายอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนไม่เคยละเว้นในการหาทางแก้ไขปัญหาเมื่อมีการสูญเสียเกิดขึ้น

    ที่มา,http://www.thairath.co.th/

    0 comments:

    Post a Comment