
คดีนี้โจทก์ ยื่นฟ้อง ระบุความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 52 จำเลยที่ 1-3 ร่วมกันจัดรายการ "ความจริงวันนี้" ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมพีทีวี ใส่ความโจทก์ทำนองว่า พิมพ์หนังสือชื่อ "สมัคร จาบจ้วง ป๋าเปรม ถึงนอมินี ทักษิณ" ขึ้นมาใหม่หลังจากที่นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ถึงแก่อสัญกรรมแล้ว และพวกจำเลยยังเรียกร้องให้คนเสื้อแดงมาคุกคามโจทก์ที่พรรคประชาธิปัตย์ ทั้งที่หนังสือดังกล่าวได้พิมพ์เผยแพร่ตั้งแต่ วันที่ 23 มี.ค. 51 โดยมีคุณหญิงกัลยา โสภณพาณิชย์ เป็นประธานในพิธีเปิดตัวหนังสือ ร่วมกับนายปรีชา สามัคคีธรรม ก่อนที่นายสมัครจะถึงอสัญกรรม โดยจำเลยทั้ง 3 ให้การปฏิเสธ
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความ และพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายที่นำสืบหักล้างกันแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสาม นำหนังสือ "สมัคร จาบจ้วง ป๋าเปรม ถึงนอมินีทักษิณ " ที่โจทก์จัดพิมพ์ มาแสดงในรายการพร้อมกล่าวหาว่าโจทก์ได้จัดทำหนังสือขึ้นมาใหม่หลังจากที่นายสมัคร ถึงอสัญกรรมแล้ว และกล่าวหาว่าโจทก์เป็นคนเลว เหยียบย่ำผู้ตาย กระทั่งวันที่ 28 พ.ย. 52 มีผู้ชุมนุมเสื้อแดงหลายร้อยคนไปชุมนุมหน้าที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้โจทก์ออกมาขอขมา และมีการร้องเรียนสภาผู้แทนราษฎร ให้ตรวจสอบจริยธรรมโจทก์
นอกจากนี้โจทก์ยังมีพยานที่ได้ร่วมเปิดตัวหนังสือเมื่อปี 51 มาเบิกความยืนยัน พร้อมหลักฐานเป็นภาพถ่าย และจัดพิมพ์เพียงครั้งเดียวไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงหน้าปกหนังสือ จึงไม่ใช่การพิมพ์หนังสือไว้อาลัยการเสียชีวิตของนายสมัคร
ส่วนที่จำเลยอ้างว่า ได้หนังสือมาจากผู้สื่อข่าวที่อาคารรัฐสภา ไม่มีเวลาตรวจสอบข้อมูล จำเลยก็ไม่มีพยานมาเบิกความหักล้าง ส่วนการกล่าวถึงโจทก์ในลักษณะตักเตือนนั้น ศาลเห็นว่า จำเลยทั้งสามทำงานด้านการเมืองมาหลายปี หากจะมีการออกอากาศก็ควรจะต้องใช้ความระมัดระวังตรวจสอบข้อมูลก่อน เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ ข้อต่อสู้ของจำเลยจึงเป็นการกล่าวอ้างลอยๆ ฟังไม่ขึ้น
การกระทำของพวกจำเลย ที่กล่าวตำหนิโจทก์ และมีการเผยแพร่ทางสถานีพีทีวี ที่มีผู้ชมจำนวนมากและยังสามารถดูย้อนหลังได้โดยผ่านเว็บไซต์ โดยไม่เป็นความจริงทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสีย ชื่อเสียง จึงเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นฯ และเป็นการละเมิด จึงเห็นสมควรให้จำเลยทั้งสามต้องชดใช้จากการทำละเมิดต่อโจทก์ด้วย
ศาลจึงมีคำพิพากษาให้จำคุกจำเลยทั้งสาม คนละ 1 ปี ปรับคนละ 5 หมื่นบาท พิเคราะห์พฤติการณ์แล้วเห็นว่า ไม่ร้ายแรง โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้คนละ 2 ปี และให้จำเลย ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 6 แสนบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี และให้ร่วมกันโฆษณาคำพิพากษาย่อใน นสพ.รายวัน เป็นเวลา 3 วันติดต่อกัน และให้จำเลยทั้งสามชำระค่าทนายความแทนโจทก์ด้วย 1 หมื่นบาท
ภายหลังนายสุภาพ เพชรศรี ทนายความจำเลยระบุว่าจะต้องยื่นอุทธรณ์ในส่วนของอาญาและแพ่ง ซึ่งแม้เรายอมรับว่าได้กล่าวถึงโจทก์ในรายการจริง แต่เรายืนยันถึงเจตนาเพื่อตักเตือนโจทก์ อีกทั้งหนังสือแม้จะพิมพ์ตั้งแต่ 51 แต่ก็ยังมีการนำมาแจกอยู่
ด้านนายวัชระ กล่าวว่า ตนเคารพในคำพิพากษาของศาล แต่ว่าในกระบวนการพิจารณายังไม่สิ้นสุด เพราะโจทก์-จำเลย ยังสามารถอุทธรณ์-ฎีกาได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่ที่ศาลอุทธรณ์จะใช้ดุลยพินิจในการพิจารณาพิพากษาคดีอย่างไร
ที่มา,naewna.com
0 comments:
Post a Comment