
"บันเทิงไทยรัฐออนไลน์" พูดคุยกับพิธีกรสาวเก่ง บีม วรานิษฐ์ ที่วันนี้รับหน้าที่ซิงเกิลมัม ดูแลน้องโซรด้วยตัวเอง โดยไม่หวังพึ่งความช่วยเหลือจากแฟนเก่า พร้อมทั้งเตรียมขยายธุรกิจอาหารเสริมและทำธุรกิจอื่นเพิ่มเพื่อสร้างความมั่นคง
ขึ้นชื่อว่าผู้หญิงที่ทำหน้าที่เป็น "คุณแม่" ย่อมมีความเข้มแข็ง ทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกกินอิ่มนอนหลับ อยู่สุขสบาย เช่นเดียวกับพิธีกร-นักแสดงสาว บีม วรานิษฐ์ จิราโรจน์เจริญ ลูกสาวของตลกดังผู้ล่วงลับ ดี๋ ดอกมะดัน ที่วันนี้แม้จะต้องทำหน้าที่ซิงเกิลมัม เลี้ยงดู น้องโซร ลูกชายสุดที่รักด้วยตัวเอง แต่เธอไม่เคยคิดจะรับความช่วยเหลือจากคุณพ่อของน้องโซรแต่อย่างใด แต่เมื่อน้องโซรโตขึ้นมาแล้วก็จะให้ตัดสินใจเองว่าจะรับของขวัญที่คุณพ่อเตรียมไว้ให้หรือไม่ อีกทั้งเธอบอกว่า รู้สึกมีความสุขที่วันนี้มีครบทุกอย่างเพราะมีทั้งคุณแม่ น้องสาว (เบลล์ มนชญา ศรีสวัสดิ์) และลูกชาย อยู่เคียงข้างเธอในทุกๆ วัน “บันเทิงไทยรัฐออนไลน์” เลยเปิดพื้นที่คุยกันยาวๆ กับคุณแม่คนเก่งกันหน่อย
ถามถึงน้องโซร ตอนนี้เป็นไงบ้าง?
ตอนนี้น้องอายุ 7 เดือนแล้วค่ะ ช่วงนี้ก็เริ่มนั่งเอียงๆ เรียกว่าท่าพับเพียบอยู่ค่ะ นั่งเรียบร้อย เหมือนเราจับคว่ำแล้วเขาจะนั่ง เลยจะกลายเป็นท่านั่งเอียงๆ เหมือนเมาๆ นิดนึง (หัวเราะ) เริ่มมีภาษาเขา เริ่มรู้แล้วเริ่มจำได้ว่าแม่มาถึง ทำงานบางทีกลับมายังไม่ได้ล้างมือล้างหน้าเลย ก็เข้ามาทำโน่นนี่ก่อน มาถึงก็ต้องอุ้มเขา เริ่มรู้เรื่องแล้ว ตอนนี้ติดมากค่ะ ออกมาทำงานต้องรีบกลับบ้านเลย (ยิ้ม) บีมเองก็อยู่ในทุกโมเมนต์ของลูก แต่แค่ว่าบางทีเราก็ต้องออกมาทำงาน เราก็เลือกงานที่ไม่ได้ใช้เวลาทำทั้งวันค่ะ เย็นก็ต้องรีบกลับบ้านไปดูลูกแล้ว ยังไงเราก็นอนด้วยกันทุกคืนค่ะ ตอนที่ไม่อยู่บ้านก็มีคุณยายช่วยดู คุณน้าด้วย แต่หลักๆ ก็จะเป็นคุณยายเพราะคุณน้าก็ทำงานเหมือนกันค่ะ
ไม่ได้จ้างพี่เลี้ยงมาช่วยดูแลเหรอ?
ไม่ค่ะ ที่ไม่ได้จ้างพี่เลี้ยงเพราะมันเป็นความตั้งใจอยู่แล้วตั้งแต่แรกของที่บ้านแล้วค่ะว่าจะดูแลกันเอง แต่ก็มีคิดแว้บๆ บ้างว่าถ้ามีพี่เลี้ยงอาจจะเหนื่อยน้อยกว่านี้ (หัวเราะ) แต่ก็ตั้งใจไว้แล้วว่าเราอยากจะดูแลเขาเต็มที่ที่สุดค่ะ พอดูแลเขาเองก็น้ำหนักลด เอวหลวม ตอนนี้ผอมกว่าตอนท้องแล้วค่ะ (หัวเราะ) หลายคนก็บอกว่าให้กินเยอะ ก็กินค่ะ แต่ด้วยความที่เรารีบกินแล้วต้องรีบทำโน่นนี่ ดูแลเขาเหมือนเราแอคทีฟตลอดเวลา แล้วเราต้องให้นม เขาบอกว่าถ้าเราให้นมเองจะเหมือนดึงไขมันในร่างกายออกไปเร็ว มันจะลงเร็วมากค่ะ คือแต่ก่อนบีมหนัก 49 กก. พอท้องน้ำหนักขึ้นมา 15 กก. ค่ะ แต่ตอนนี้ล่าสุดที่ชั่งน้ำหนักประมาณ 46-47 กก.ค่ะ (หัวเราะ)
ทำงานหนักไปรึเปล่าถึงผอมลงขนาดนี้?
คือมันเป็นหน้าที่ค่ะ งานน่ะไม่หนัก แต่ว่าเลี้ยงลูกเนี่ยเราดูเต็มที่ ดูแลกันตอนกลางคืนเองเลย คุณยายไม่ได้มาช่วย ก็เลยจะนอนน้อยค่ะ เราก็อุ้มเขากล่อม ตอนนี้เขาน้ำหนักเกือบ 8 กก.แล้วค่ะ ก็ต้องอุ้มแล้วกล่อมนอน บางทีบางคืนถ้าเขาไม่ค่อยสบายตัวก็ต้องกล่อมหลายครั้ง เหมือนเรายกของหนักตลอดเวลาเลย (หัวเราะ) ยกอย่างเดียวไม่ได้ต้องโยกด้วย เป็นการออกกำลังกายไปในตัวค่ะ
ทำงานเลี้ยงลูกเองคนเดียว เราต้องรับงานเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน?
จริงๆ บีมเองไม่ได้รับงานเยอะแยะมากมายค่ะ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดเลยคือเวลาที่ให้ลูก แต่บีมเองตอนที่ท้องก็ทำธุรกิจอาหารเสริม คือเป็นธุรกิจที่สามารถรันไปได้โดยที่เราไม่ต้องเข้าไปทุกวันค่ะ คือให้ของมันขายไปได้ด้วยตัวมันเอง ตอนท้องรายได้เข้ามาจากการทำธุรกิจนี่แหละค่ะ ก็เป็นธุรกิจอาหารเสริมเกี่ยวกับระบบภายในผู้หญิง ก็เดี๋ยวจะทำอาหารเสริมเพิ่มอีกตัวค่ะ แล้วก็อยากจะหาธุรกิจเพิ่ม ตอนนี้ก็กำลังดูๆ อยู่ว่าอันไหนน่าสนใจ คือเราก็อยากวางรากฐาน ตอนนี้เรารู้สึกว่าอยากอยู่กับลูกมากๆ อยากวางธุรกิจให้มันสามารถรันด้วยตัวเองได้โดยที่เราไม่ต้องเข้าทุกวันค่ะ เราก็จะได้ให้เวลากับเขา ส่วนครอบครัวตอนนี้เบลล์ก็มาช่วยค่อนข้างเยอะค่ะ ตอนนี้ในครอบครัวก็มีบีมกับเบลล์ดูแลค่ะ แล้วเบลล์ก็มีส่วนในการดูแลหลานด้วย ช่วยๆ กันค่ะ ก็ต้องหารายได้กันเยอะพอสมควรค่ะ ทุกวันนี้ก็ต้องหารายได้หลักแสนต่อเดือนค่ะ บางทีพอลูกหลับก็มานั่งคิดว่าเราอยากทำอะไร เพราะเห็นค่าเทอมเด็กเดี๋ยวนี้ก็เยอะมาก การมีลูกค่าใช้จ่ายเยอะแยะ เราก็อยากจะสามารถให้ในสิ่งที่เขาควรจะมีค่ะ ก็คงหาธุรกิจที่เราชอบและถนัด สามารถสร้างรายได้ได้ค่ะ
หลายคนก็ชื่นชมกับการที่เราเป็นซิงเกิลมัม ทำงานหาเงินเลี้ยงลูกเองคนเดียว?
โห ขอบคุณมากเลยค่ะ (ยิ้ม) ถามว่ามีเคล็ดลับยังไงคือจริงๆ บีมว่าทุกชีวิตมันก็มีปัญหาและอุปสรรคบ้างอยู่แล้วค่ะ อยู่ที่เราจะมองว่าเป็นอุปสรรคหรือเป็นจุดที่เราคิดว่าเป็นบททดสอบ ถ้าเราคิดว่าเป็นบททดสอบ เราก็อยากที่จะแก้ไขข้ามผ่านอุปสรรคนี้ไปให้ได้ ชนะมันให้ได้ บีมมองว่าทุกอย่างเป็นอะไรที่ท้าทายในชีวิตค่ะ การเป็นซิงเกิลมัมเดี๋ยวนี้บีมว่าปกติค่ะ ในโลกนี้มีซิงเกิลมัมเยอะแยะ ลูกก็ดีๆ ทั้งนั้นเลยค่ะ มันไม่ได้เป็นข้อเสียอะไรเลยค่ะ มันเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าทำไมการที่เรามีสามี ทำไมผู้ชายจะดูแลลูกได้ดีกว่าเหรอ เขาหาเงินได้ เราก็หาเงินได้เท่าเขาค่ะ เราก็สามารถทำได้ค่ะ อย่างบีมก็ไม่ได้ตัวคนเดียว มีน้องสาวด้วย เพราะฉะนั้นก็ไม่มีอะไรด้อยกว่าคนที่เขาเป็นสามีภรรยา การมีลูกเป็นอะไรที่มีความสุขที่สุดอยู่แล้วค่ะ มันสนุกมาก (ยิ้ม) มันมีแต่เรื่องเอ็นจอยมากค่ะ ถามว่าเหนื่อยไหมเหนื่อย แต่ไม่เคยท้อเลยค่ะ บีมเป็นคนชอบไม่ให้ชีวิตสบายอยู่เฉยๆ พอเหนื่อยแล้วรู้สึกว่าชีวิตมันแอคทีฟ มีอะไรทำ พอมีเวลาก็อยากทำอะไรเพิ่มอยู่ตลอดเวลา ไม่อยากให้ชีวิตแบบพอแล้ว ฉันหยุดแล้ว ไม่เคยคิดแบบนั้นค่ะ
ฝั่งคุณพ่อของน้องเองได้มาช่วยเหลือยังไงบ้าง?
พอดีบีมตั้งใจว่าจะเป็นซิงเกิลมัมแล้วค่ะ บีมดูแลลูกเอง เพราะฉะนั้นบีมไม่ได้ให้เขามาช่วยอะไรค่ะ คือตอนนี้เขาจะเตรียมอะไรให้ลูกก็เตรียมไปเลย บีมยังไม่รับทั้งหมดทั้งสิ้นค่ะ รอให้น้องโซรรู้เรื่องก่อนแล้วบีมก็จะถามเขาว่าตรงนี้เป็นส่วนที่คุณพ่อให้มาแล้วหนูจะรับไหม อันนี้เป็นการตัดสินใจของลูกเลย บีมไม่รับเพราะมันไม่เกี่ยวกับบีมค่ะ บีมก็เลยบอกไปว่าตอนนี้ยังไม่ต้องช่วยเลย ตอนนี้ก็เตรียมไว้ก่อนนะ พอน้องโซรโตพอที่จะมีวุฒิภาวะหรือวัยวุฒิพอแล้ว บีมจะถามเขาแล้วให้เขารับเอง เพราะเราตัดสินใจแล้ว เราก็ชัดเจนค่ะ ซึ่งคุณพ่อน้องเขาก็เคารพการตัดสินใจค่ะ เขารู้ว่าบีมเป็นคนตัดสินใจแล้วตัดสินใจเลย ไม่มีการโลเลอะไรค่ะ
ตัวคุณพ่อของน้องโซรเองมีมาเจอน้องบ้องไหม?
ตอนนี้ก็มีค่ะ แต่บีมรู้สึกว่ามันยังไม่ถึงเวลาที่น้องโซรเขารู้เรื่องน่ะ ฉะนั้นรอให้เขารู้เรื่องอีกนิดนึงแล้วค่อยให้เขามาหาอีกครั้ง บีมเองก็ค่อนข้างยุ่ง เหนื่อย กลับบ้านบางครั้งยังไม่มีเวลาเลย เพื่อนกันบางครั้งก็ยังไม่ค่อยได้มาหาที่บ้านเลยเพราะไม่สะดวกค่ะ ซึ่งคุณพ่อน้องเขาเองก็เคยได้เจอน้องตอนช่วงคลอดใหม่ๆ ค่ะ คือที่ยังไม่ได้ให้คุณพ่อกับน้องเจอกันเพราะตอนนี้น้องยังแยกไม่ออกว่านี่คือแม่หรือใคร มันยังไม่ถึงเวลาค่ะ ทุกอย่างบีมเห็นความสำคัญของน้องโซรเป็นที่หนึ่ง เพราะฉะนั้นในการที่จะเจอก็ต้องให้เขาเจอว่าคนนี้คือพ่อนะ ฉะนั้นตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่เขารู้เรื่อง ยังไม่เห็นความสำคัญว่าจะต้องเจอทำไม เพราะเราก็ชัดเจนตั้งแต่แรกแล้วว่าเราเลี้ยงลูกเองค่ะ
เราตั้งแพลนเรื่องเรียนในอนาคตของลูกยังไงบ้าง?
ตอนนี้แพลนแค่เรื่องโรงเรียนอนุบาล เรื่องการศึกษาในช่วงต้นให้เขาค่ะ แพลนแค่ว่าหาโรงเรียนใกล้บ้าน เอาแบบที่ใกล้ที่สุดเพราะไม่อยากให้เขาไปเจอรถติด เหนื่อยกับการเดินทาง เอาโรงเรียนที่ทำให้เขามีความสุข สนุกกับการไปโรงเรียนเท่านั้นพอค่ะ แล้วก็วางเรื่องการเรียนภาษาให้เขา เรียนเสริมด้านว่ายน้ำ พอเขาโตรู้เรื่องก็ให้เขาเลือกเองเลยว่าเขาอยากทำอะไร อยากจะชอบเล่นดนตรีหรือกีฬา เรามีหน้าที่ในการส่งเสริมในสิ่งที่เขาอยากทำเท่านั้นเองค่ะ เขาอยากทำอะไรก็เรื่องของเขา บีมไม่ได้อยากให้ลูกต้องเรียนเก่ง เป็นเด็กดีที่สุด เอาแค่เขามีสุขภาพจิตที่ดี มีความสุขในทุกๆ วันก็โอเคแล้วค่ะ ถามว่าเขาฉายแววอะไรเป็นพิเศษไหม คือตอนนี้เขายังเด็กน้อยมากค่ะ แต่สังเกตว่าเขาแรงเยอะมากสำหรับเด็กวัย 7 เดือน คือมีแรงกำแรงจิกมาก ก็เลยเอ๊ะ สงสัยเอาดีในเรื่องการยกน้ำหนักรึเปล่า (หัวเราะ) หรือจะแนวออกกำลังกายใช้แรงชกมวยรึเปล่า (ยิ้ม) เขาแรงเยอะมากเลย เวลาพาเขาออกงานเขาจะเรียบร้อยกว่าอยู่บ้าน เหมือนรู้งานค่ะ พอจับนั่งเขาก็จะมอง แต่พออยู่บ้านปุ๊บเขาก็จะดีดๆ เหมือนเวลาออกนอกบ้านเขาจะสนใจตั้งใจ เวลาเห็นกล้องเขาก็จะหน้านิ่งค่ะ เขาจะมองเข้าไปในเลนส์โทรศัพท์ ชอบมองกล้อง สนใจสิ่งรอบข้างค่ะ
ทำงานเยอะแถมดูแลลูกและครอบครัวเองด้วย น่าจะมีคนพิเศษช่วยดูแลเราบ้าง?
ไม่มีเลยค่ะ ถ้าเป็นแม่คนแล้วเราไม่คิดถึงเรื่องนี้เลยค่ะ เราก็ไม่ได้ไปเจอใครหรือคุยแชทไลน์กัน แค่เลี้ยงลูกก็หมดเวลาแล้ว เหนื่อยที่จะไปคุยเล่นกับใครแล้วค่ะ แต่ตอนนี้น้องโซรก็จะมีคุณลุงเยอะแยะ ซึ่งเป็นเพื่อนๆ ของเรานี่แหละ เพราะบางทีเราก็ห่วงว่า เอ๊ะ ลูกไม่ค่อยได้เจอผู้ชายรึเปล่าเพราะบ้านเราก็ผู้หญิงหมด ก็จะพยายามพาไปเจอคุณลุงคุณอา เพื่อนผู้ชายคนไหนเสียงต่ำๆ ก็ให้มาคุยกับน้อง ให้แมนๆ มาคุยกันหน่อย ตอนนี้คุณแม่เองก็พยายามเล่นอะไรแมนๆ ขึ้น แฟนของเบลล์ก็จะมาเล่นกับหลานเยอะ พอโตหน่อยก็จะชวนให้ไปเล่นบาส เตะบอล ก็ให้เขาจัดการไปค่ะ
จริงๆ เราปิดกั้นตัวเองเรื่องหัวใจด้วยรึเปล่า?
ไม่เข็ดเรื่องความรักนะคะ แต่ว่าดวงเราอาจจะยังไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ ถามว่าปิดไหมเราก็ไม่ได้ปิดหรือเปิด แต่ด้วยจังหวะเวลาเราก็เหมือนปิดค่ะ เพราะเราก็ไม่มีแรงคุยกับใครอยู่แล้วค่ะ แต่ว่าเรื่องนี้ก็ปล่อยเป็นเรื่องอนาคตค่ะ บีมไม่ซีเรียสเลย ตอนนี้บีมรู้สึกว่าชีวิตเต็มแล้วค่ะ มีความสุขแล้ว เหมือนเรามีครบแล้วค่ะ มีลูก อยู่กับแม่เราน้องเรา ครอบครัวเราสมบูรณ์แล้วค่ะ ถ้าต่อไปในอนาคตจะมีใครก็ขอให้เป็นเรื่องที่มาเพิ่มเติมจากสิ่งที่เราเต็มอยู่แล้ว เราไม่ขาดแล้วค่ะ
คิดว่าอีกกี่ปีถึงจะเริ่มกลับมามองเรื่องความรัก?
ไม่ได้คิดเลยค่ะ เพราะเรื่องการทุ่มเทให้ลูกคงทุ่มเทไปตลอด เป็นหน้าที่ที่เลิกทำไม่ได้ ก็ทำไปเรื่อยๆ ค่ะ ถามว่ามีคนเข้ามาคุยบ้างไหมไม่มีค่ะ ถ้ามีก็เป็นคนที่รู้จักกันมานาน เป็นเพื่อนๆ ซึ่งคงไม่ได้คิดอะไรแบบนี้ค่ะ ถามว่าเป็นเพราะเราเป็นผู้หญิงเก่งแล้วผู้ชายเลยกลัวไม่กล้าเข้ามารึเปล่าอันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน (หัวเราะ) แต่เราก็ชัดเจนตรงที่เราไม่ได้ต้องการใครค่ะ อยู่ได้ด้วยตัวเอง ถ้ามีก็ถือเป็นโบนัสให้ชีวิตมากกว่าค่ะ
ที่มา:thairath
0 comments:
Post a Comment