
นับแต่วันแรกที่ “ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ” นั่งเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2558 ตลอด 3 สัปดาห์เดือนกันยายนนี้ คณะรัฐมนตรี ( ครม.) ได้อนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาต่อเนื่อง (อ่านตารางประกอบ )และเป็นไปตามเจตนารมณ์ของนายกรัฐมนตรีที่ลั่นให้เวลา ทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ต้องเร่งขับเคลื่อนมาตรการให้เห็นผลออกมาใน 3 เดือน
แต่ยังไม่ทันใช้ยาครบโดส หน่วยงานเศรษฐกิจอย่างน้อย 2 แห่ง เล็งปรับเป้าเศรษฐกิจไทยลง นั่นคือ ธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี ) ปรับเป้าลงจากประมาณการเดิมที่เคยคาดไว้ที่ 2.9-3 % และ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท. ) ที่จ่อจะหั่นเป้าเศรษฐกิจวันที่ 25 กันยายนนี้
ทั้งนี้คาดการณ์ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจในไตรมาส 3 จะชะลอต่ำกว่าคาด หลังครึ่งปีแรกเศรษฐกิจขยายตัว 2.9% อีกทั้งเศรษฐกิจไทยยังเผชิญปัจจัยเสี่ยงจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน ล่าสุดองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาเศรษฐกิจ (โออีซีดี ) ประเมินว่าเศรษฐกิจจีนจะเติบโตในอัตราชะลอตัวต่อโดยปี 2558ที่ 6.7% และปี 2559 ที่ 6.5% อีกทั้งผลมาตรการภาครัฐ ในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ ก็อาจไม่ได้ส่งผลช่วยมากนัก
“จีน-ค่าเงิน”เพิ่มแรงกดดัน
นายเมธี สุภาพงษ์ เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กล่าวว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยปี 2558 จะขยายตัวต่ำกว่า 3% จากเดิมที่คาดไว้ที่ระดับ 3% (ประเมินเมื่อ 19 มิ.ย.58 ) เนื่องจากมีปัจจัยลบจากทางด้านต่างประเทศเข้ามากดดันภาวะเศรษฐกิจมากขึ้นกว่าที่เคยประเมินไว้เมื่อครั้งที่ผ่านมา โดยเฉพาะจากจีนที่ส่งผลต่ออาเซียนซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญของไทย รวมทั้งความผันผวนของตลาดการเงินโลกที่อาจสูงขึ้น ขณะที่ในส่วนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐก็น่าจะมีส่วนในการช่วยประคับประครองเศรษฐกิจได้บ้าง แต่คงจะต้องรอผลการประเมินว่าจะเป็นอย่างไร
“มติบอร์ดกนง. 7 ต่อ 0 ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่1.5% ต่อปี เพราะมองจากเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 2/2558 และเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมายังขยายตัวช้า ส่งออกหดตัวต่อเนื่องตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและเอเชีย และรายได้ครัวเรือนยังไม่กระเตื้อง โดยเศรษฐกิจยังมีแรงขับเคลื่อนจากภาคการท่องเที่ยวที่ยังขยายตัวสูง และการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐที่เร่งตัวขึ้น รวมทั้งผลรับจากมาตรการเศรษฐกิจ”
สอดคล้องดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกลุ ผู้ว่าการธปท. กล่าวว่า ประเมินมาตรการรัฐที่ออกมาเพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยส่วนใหญ่น่าจะได้ผลระยะสั้นมากกว่า และจะเริ่มส่งผลต่อเศรษฐกิจปีหน้ามากกว่าเห็นผลในปีนี้
“ปัจจัยรองรับหลายตัวในช่วงหลังอ่อนแอลง อีกทั้งศักยภาพเศรษฐกิจไทยในระยะช่วง 5 ปีที่ผ่านมาก็เติบโตเฉลี่ยเพียง 3% ดังนั้นการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ก็ขึ้นอยู่กับศักยภาพว่าเราจะแข็งแกร่งเพียงไร”
มาตรการกระตุ้นมีข้อจำกัด
มุมมองนางสาวนลิน ฉัตรโชติธรรม นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย กล่าวว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นส่วนใหญ่จะสามารถดำเนินการได้ทันที เช่น การปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี การช่วยผู้มีรายได้น้อย ผ่านกองทุนหมู่บ้าน หรือเบิกจ่ายงบประมาณลงสู่ตำบลและโครงการลงทุนขนาดเล็ก ซึ่งเป็นผลดีกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วประเทศ แต่ก็ยังเร็วไปที่จะตั้งความหวังไว้สูงในขณะนี้
เนื่องจากหลายมาตรการ เช่น การปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และมาตรการเพิ่มวงเงินค้ำประกันแก่เอสเอ็มอี รัฐบาลก็เคยลองทำมาแล้วตั้งแต่เดือนมิถุนายน แต่เท่าที่ผ่านมาการกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจดูเหมือนจะมีความยากลำบาก เนื่องจากการส่งออกยังคงซบเซา (ส่งออก 7 เดือนหดตัวกว่า 6.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ฯหรือลบ 4.7%) ความเชื่อมั่นทางธุรกิจยังอ่อนแอ และหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง จึงต้องตามดูผลกระทบอีกระยะหนึ่ง
นอกจากนี้ผลสำรวจของธปท.ล่าสุดระบุว่า ความต้องการสินเชื่อในไตรมาส 3 อ่อนแอกว่าใน 2 ไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับผลสำรวจบรรยากาศการลงทุนของภาคธุรกิจ ที่ระบุว่ามีแนวโน้มของคำสั่งซื้อยังอ่อนแอทั้งภายในและภายนอกประเทศ ดังนั้นโดยสรุป เศรษฐกิจจึงมีโอกาสที่จะฟื้นตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
“เราคาดว่าการเร่งใช้จ่ายเงินลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกระตุ้นบรรยากาศทางธุรกิจและการเติบโตของเศรษฐกิจที่มีความต่อเนื่องในระยะต่อไป “นางสาวนลิน กล่าว
เทหมดหน้าตักQ4 ฟื้นศก.
อย่างไรก็ดีรัฐบาลยังมีความหวังว่าเศรษฐกิจไตรมาส 4 ปีนี้ จากเม็ดเงินงบลงทุนและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมกว่า 2.3 แสนล้านบาท กล่าวประกอบด้วย
1.งบลงทุนไตรมาสแรกของปีงบประมาณรายจ่าย 2559 หรือก็คือไตรมาส4 ของปีปฏิทิน ( 1 ต.ค.58-31ธ.ค.58 ) 1.02 แสนล้านบาท ซึ่งหากเป็นเงินลงทุนไม่เกิน 2 ล้านบาท สามารถที่จะเบิกจ่ายได้ทันทีในไตรมาสแรกปีงบ 2559 อาทิโครงการสร้างฝายน้ำ ขุดเจาะบ่อบาดาล และหากเป็นโครงการระดับลงทุน 2-500 ล้านบาท ให้ก่อหนี้ภายในไตรมาสดังกล่าว
2. วงเงินจากมาตรการกระตุ้น 1.36 แสนล้านบาท โดยเป็นงบจ้างงาน จัดซื้อจัดจ้างในท้องถิ่นตำบลละ 5 ล้านบาท 7,255 ตำบล (ใช้งบกลางปี 2556-2558 ) , งบลงทุนขนาดเล็กโครงการละไม่เกิน 1 ล้านบาท วงเงินรวม 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งทั้งหมดจะเป็นตัวขับเคลื่อนและเป็นแรงส่งไปถึงปีหน้า หากเงินลงทุนลงสู่ระบบเต็มเม็ดหน่วย เศรษฐกิจปีนี้อาจลุ้นโตในระดับ 3%
มาตรการได้ผลปีหน้า
ทั้งนี้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ( สศค.) กระทรวงการคลัง ประเมินว่าผลจากมาตรการช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย ( ครม.เมื่อ 1 ก.ย. ) 1.36 แสนล้านบาท จะกระตุ้นเศรษฐกิจปีนี้ได้ประมาณ 0.4% และจะผลักดันให้จีดีพีโตได้ระดับ 3%
ไม่ต่างกับนายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่าหากงบกระตุ้นลงสู่ระบบเศรษฐกิจเริ่มในเดือนตุลาคมนี้ เศรษฐกิจไตรมาส 4 คาดจะขยายตัว 4 % จากผลของตัวคูณ ( Multiplier ) 1 รอบ หมุนเงินสู่ระบบ 2.6 แสนล้านบาท และจะส่งผลให้เศรษฐกิจทั้งปีโต 3.1 %
ขณะที่บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์(บล.)เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่าหากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นไปตามคาด คือ สามารถอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบตั้งแต่เดือนตุลาคม เป็นต้นไป คาดว่าจีดีพีไทยงวดไตรมาส 4/2558 จะเติบโตที่ 2.6% ฟื้นตัวจากที่คาดว่าจะเติบโตเพียง 2.3% ในงวดไตรมาส 3/2558 ขณะที่ครึ่งปีแรกเติบโต 2.9% ดังนั้นทั้งปี 2558 จะเติบโต 2.7% ซึ่งดีกว่าประมาณการเดิมที่คาดว่าโต 2.5% ภายใต้สมมติฐานการบริโภคภาคครัวเรือน เติบโต 2.2%, การใช้จ่ายภาครัฐ เติบโต 4.7%, การลงทุนภาคเอกชนเติบโต 3.4 %, การส่งออก เติบโต 3.2% และการนำเข้าเติบโต 2.8% ด้านค่าเงินบาทคาดว่าปี 2558 เคลื่อนไหวที่เฉลี่ย 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
ทั้งนี้คาดกันว่ายาโด๊ปรัฐบาล จะออกฤทธิ์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจชัดเจนก็ในปี 2559 และอาจเป็นปีแรกในรอบ 3 ปีนับจากปี 2555 ที่เศรษฐกิจมีโอกาสขยายตัวเกิน 4 %
ทีมเศรษฐกิจ”สมคิด ” จะสอบผ่านหรือไม่ ก็ดูจากผลเศรษฐกิจฟื้นหรือไม่ในไตรมาส 4 !
ที่มา:thansettakij
0 comments:
Post a Comment