20 ปีลดเหลือ 13 ปี 4 ด. เจ้าตัวยื่นประกัน 2 ล้าน
องค์กรสื่อจี้ให้วางไมค์ บี้ช่องลงโทษแบบดารา
“สรยุทธ” นักข่าว-พิธีกรช่อง 3 คนดังไม่รอด ศาลพิพากษาจำคุกพร้อมเจ้าหน้าที่ บ.ไร่ส้ม คนละ 20 ปี คดีโกงค่าโฆษณาในรายการ “คุยคุ้ยข่าว” กว่า 138 ล้านบาท พร้อมปรับ บ.ไร่ส้ม 1.2 แสนบาท คำให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษเหลือจำคุกคนละ 13 ปี 4 เดือน ส่วน “พิชชาภา” อดีต พนง.จัดทำคิวโฆษณา อสมท โดนจำคุก 30 ปี ลดเหลือ 20 ปี ก่อนอนุญาตให้ประกันตัวคนละ 2 ล้านบาท ห้ามออกนอกประเทศก่อนได้รับอนุญาต และให้รายงานตัวทุกเดือน ขณะที่ 2 องค์กรวิชาชีพสื่อฯ จี้วางไมค์ เลิกอาชีพสื่อฯ ส่วนองค์กรต่อต้านคอรัปชั่นบี้ช่อง 3 ออกมาตรการลงโทษเช่นเดียวกันกรณีนักแสดงทำผิด ทางด้านช่อง 3 เรียกประชุมด่วนหาทางออก พร้อมสั่งงดรายการ “เจาะข่าวเด่น” ขยายเวลาช่วงข่าวเด่นเย็นนี้แทน
ศาลพิพากษาคดี บ.ไร่ส้มโกงค่าโฆษณา
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 29 ก.พ.59 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นัดฟังคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ฟ้อง นางพิชชาภา เอี่ยมสะอาด อดีตพนักงานจัดทำคิวโฆษณาของบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) (บมจ.อสมท), บริษัท ไร่ส้ม จำกัด โดย น.ส.อังคนา วัฒนมงคลศิลป์ และ น.ส.สุกัญญา แซ่ลิ่ม ในฐานะกรรมการผู้จัดการ บจก.ไร่ส้ม, นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง และกรรมการผู้จัดการ บจก.ไร่ส้ม และ น.ส.มณฑา ธีระเดช เจ้าหน้าที่ บจก.ไร่ส้ม ร่วมกันเป็นจำเลยฐานกระทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 และฐานสนับสนุนพนักงานกระทำความผิดดังกล่าว กรณีถูกกล่าวหายักยอกเงินค่าโฆษณาเกินเวลาในรายการ “คุยคุ้ยข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ อสมท กว่า 138 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสรยุทธเดินทางมาถึงศาลโดยไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ ต่อสื่อมวลชน ก่อนเดินขึ้นไปที่ห้องฟังคำพิพากษาชั้น 9 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก
เริ่มอ่านคำพิพากษา
ต่อมาเมื่อเวลา 10.30 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 912 ศาลนัดอ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ อ.313/2558 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ฟ้อง นางพิชชาภา เอี่ยมสะอาด อดีตพนักงานจัดทำคิวโฆษณาของบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน), บริษัทไร่ส้ม จำกัด โดย น.ส.อังคนา วัฒนมงคลศิลป์ และ น.ส.สุกัญญา แซ่ลิ่ม ในฐานะ กก.ผจก.บจก.ไร่ส้ม, นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง และ กก.ผจก.บจก.ไร่ส้ม และ น.ส.มณฑา ธีระเดช เจ้าหน้าที่ บจก.ไร่ส้ม เป็นจำเลย 1-4 ในความผิดฐานเป็นพนักงานเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งหน้าที่ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่, เป็นพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่องค์กร, เป็นพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และสนับสนุนพนักงานกระทำความผิดดังกล่าว ตาม พ.ร.บ.ว่า ด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 ม.6, 8 และ 11
คดีดังกล่าวอัยการโจทก์ ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 30 ม.ค.58 ระบุพฤติการณ์ว่า เมื่อวันที่ 4 ก.พ.48-28 เม.ย.49 นางพิชชาภา จำเลยที่ 1 พนักงานจัดทำคิวโฆษณาของบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ได้จัดทำคิวโฆษณารวมในรายการ “คุยคุ้ยข่าว” ใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริต ไม่รายงานการโฆษณาเกินเวลาเพื่อเรียกเก็บค่าโฆษณาเกินเวลา จาก บจก.ไร่ส้ม จำเลยที่ 2 จำนวน 17 ครั้ง ทำให้ บมจ.อสมท เสียหาย 138,790,000 บาท และยังได้เรียกรับเอาเงิน 658,996 บาท จากจำเลยที่ 2-4 เพื่อเป็นการตอบแทนที่นางพิชชาภา จำเลยที่ 1 ไม่รายงานการโฆษณา จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การร่วมผลิตรายการ จำเลยที่ 2 ทำหน้าที่เป็นผู้ผลิต ส่วนจำเลยที่ 3 เป็นพิธีกรจัดรายการทำสัญญากันเป็นลายลักษณ์อักษรระบุชัดว่าถ้ามีโฆษณาเกินกว่าส่วนแบ่ง จำเลยที่ 2 ต้องขอซื้อโฆษณาส่วนเกินย้อนหลังและชำระค่าโฆษณาเกินให้แก่ บริษัท อสมท จำกัด โดยจำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิ์แบ่งค่าโฆษณาส่วนเกินคนละเท่าๆ กับ บริษัท อสมท นอกจากนี้ศาลปกครองสูงสุดยังมีคำพิพากษาถึงที่สุดวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 จะต้องชำระค่าโฆษณาส่วนเกินและไม่มีสิทธิ์ได้รับส่วนลดทางการค้าปกติร้อยละ 30 จากค่าโฆษณาส่วนเกิน 138,790,000 บาท เพราะจำเลยที่ 2 เป็นฝ่ายผิดสัญญา ขณะที่ จำเลยที่ 1 ซึ่งมีหน้าที่จัดทำคิวโฆษณา แต่ไม่รายงานการโฆษณาที่เกินเวลาให้ผู้บังคับบัญชาทราบ เป็นเหตุให้ อสมท ได้รับความเสียหาย ตามความเห็นของคณะกรรมการตรวจสอบทั้งสองชุดที่ อสมท ตั้งขึ้น นอกจากนี้ จำเลยที่ 1 ยังใช้น้ำยาลบคำผิดลบรายการโฆษณาที่เกินเวลาในส่วนของจำเลยที่ 2 ออกจากใบคิวโฆษณารวม แสดงถึงการปกปิดข้อเท็จจริง เมื่อจำเลยที่เป็นพนักงานมีหน้าที่จัดการทรัพย์และรับเงินตามเช็ค เป็นการต้องห้าม จึงเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 6, 8, 11 ประกอบ ป.อาญา มาตรา 83
ส่วนนายสรยุทธ จำเลยที่ 3 เป็นผู้มีอำนาจจัดการและเป็นพิธีกรจัดรายการมาโดยตลอด ดังนั้นจำเลยที่ 3 น่าจะทราบเนื้อหางานเป็นอย่างดี การใช้เงินแม้จะให้โดยเสน่หา แต่ไม่รายงานให้ทราบก็เป็นการสนับสนุน ในทางนำสืบศาลเห็นด้วยกับ ป.ป.ช.ว่าจำเลยจ่ายเช็คเพื่อจูงใจให้กระทำหรือไม่กระทำการใด ทำให้หน่วยงานของรัฐได้รับความเสียหาย การที่จำเลยที่ 2-4 นำเช็คไปมอบให้แก่จำเลยที่ 1 ถือเป็นการมิชอบด้วยกฎหมายเพราะการไม่รายงานโฆษณาเกินเวลาของจำเลยที่ 1 ทำให้จำเลยที่ 2 ได้รับประโยชน์ จึงเป็นความผิดฐานสนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 2 บริษัทไร่ส้มได้ชำระค่าโฆษณาส่วนเกิน จำนวน 138,790,000 บาท แก่ อสมท แล้ว จึงลงโทษสถานเบา
สั่งจำคุก-ปรับ ไม่รอลงอาญา
พิพากษาจำเลยที่ 1 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การ มาตรา 6, 8, 11 จำเลยที่ 2-4 มีความผิดฐานสนับสนุนตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การฯ มาตรา 6, 8, 11 การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 6 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษสุด รวม 6 กระทง ฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับหรือยอมรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ จำคุกจำเลยที่ 1 กระทงละ 5 ปี รวมจำคุก 30 ปี ปรับจำเลยที่ 2 กระทงละ 2 หมื่นบาท รวมปรับ 1.2 แสนบาท จำคุกจำเลยที่ 3 และ 4 กระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 3 และ 4 คนละ 20 ปี แต่ทางนำสืบเป็นประโยชน์ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 20 ปี จำคุกจำเลยที่ 3 และ 4 คนละ 13 ปี 4 เดือน และปรับจำเลยที่ 2 เป็นเงิน 8 หมื่นบาท ไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษจำเลยที่ 1, 3 และ 4ให้ประกันตัววงเงิน 2 ล้าน
ภายหลังทนายความได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสดคนละ 2 ล้านบาท เพื่อขอปล่อยชั่วคราวสู้คดีระหว่างอุทธรณ์ และเมื่อเวลา 14.00 น.ศาลอาญาพิเคราะห์คำร้องและหลักทรัพย์แล้ว มีคำสั่งให้พวกจำเลยประกันตัวไประหว่างอุทธรณ์ โดยตีราคาประกันคนละ 2 ล้านบาท และกำหนดเงื่อนไขห้ามพวกจำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล รวมทั้งให้พวกจำเลยมารายงานตัวต่อศาลทุก 30 วัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวแล้ว นายสรยุทธได้เดินทางกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย ซึ่งนายสรยุทธ ได้แจ้งกับทางพนักงานรักษาความปลอดภัยของศาลอาญาว่า ไม่ขอให้สัมภาษณ์ ซึ่งมีผู้สื่อข่าวจำนวนมากรุมล้อมรอสัมภาษณ์ ซึ่งนายสรยุทธกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า ให้เป็นไปตามขั้นตอน ก่อนขึ้นรถเดินทางกลับต่อไป
แนะ “สรยุทธ์” ทบทวนบทบาทหน้าจอ
นายมานพ ทิพย์โอสถ อุปนายกฝ่ายสิทธิและเสรีภาพและโฆษกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเนชั่นถึงกรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษากรณีฟ้องร้องบริษัทไร่ส้ม จำกัด ของ นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา และเจ้าหน้าที่ อสมท.กับพวก ร่วมกันสนับสนุนยักยอกเงินโฆษณา ทำให้บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) เสียหายกว่า 138 ล้านบาทโดยศาลได้ตัดสินจำคุกนายสรยุทธกับลูกน้อง 20 ปี ลดเหลือ 13 ปี 4 เดือน ส่วนอดีตพนักงาน อสมท จำคุก 30 ปี ลดเหลือ 20 ปี ไม่รออาญา ปรับบริษัทไร่ส้ม 80,000 บาทว่าเรื่องนี้เป็นคำพิพากษาของศาลที่ใครก็ก้าวล่วงไม่ได้ ซึ่งนายสรยุทธ์ เคยเป็นสมาชิกวิสามัญของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ฯแต่ได้ลาออกไปแล้ว แต่เรื่องนี้ก็ว่ากันไปตามกระบวนการยุติธรรมที่ทุกแวดวงทุกอาชีพต้องเคารพกฎหมายและต้องยอมรับคำตัดสิน ยิ่งเป็นสื่อด้วยแล้วยิ่งต้องเคารพกระบวนการอย่างมาก
เมื่อถามว่าระหว่างการยื่นอุทธรณ์นายสรยุทธ์อาจจะยังไปนั่งอ่านข่าวตามปกติสมควรหรือไม่เพราะเหมือนมีมลทินจากคำพิพากษาแล้ว นายมานพ กล่าวว่า นายสรยุทธ์ก็ต้องดูกระแสของสังคม แต่เรื่องแบบนี้สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ก็เคยวิจารณ์ในเรื่องนี้และเคยเรียกร้องให้นายสรยุทธ์หยุดปฏิบัติหน้าที่มาแล้ว แต่ก็ไม่เป็นผล อีกทั้งช่อง3ต้นสังกัดไม่ได้ว่าอะไร
“จากนี้ก็อยู่ที่นายสรยุทธ์เองว่าจะจำกัดบทบาทของตัวเองยังไง ดังนั้นในฐานะของผม คิดว่านายสรยุทธ์ควรทบทวนบทบาทของตัวเองกับสังคมในขณะนี้ เพราะบทบาทของอาชีพสื่อคือการต่อสู้กับความไม่ถูกต้องในสังคม” นายมมานพ กล่าว
“เทพชัย” ชี้คดีไร่ส้มเป็นบทเรียนคนทำสื่อ
นายเทพชัย หย่อง นายกสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย กล่าวว่า บทเรียนของสื่อจากคดีนี้ เมื่อสื่อทำอะไรผิด สังคมก็จะวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งมีหลายเหตุการณ์ที่ทำให้สื่อถูกวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งข่าวอาชญากรรม การเมือง บันเทิง ที่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง กรณีนายสรยุทธอาจจะเป็นอีกระดับหนึ่งขึ้นมา ไม่ใช่เรื่องของการรายงานข่าวแต่เป็นเรื่องพฤติกรรมของคนที่บริหารองค์กร ธุรกิจสื่อ แต่ทั้งหมดประดังกันเข้ามาทำให้ภาพลักษณ์ของสื่อเป็นคำถามใหญ่
“เรื่องนี้ก็มีคำถามมาตลอด ตั้งแต่อัยการสั่งฟ้องคุณสรยุทธทุจริต ก็มีคำถามว่า ยังสมควรจะปฏิบัติหน้าที่ในฐานะคนหน้าจอต่อไปอีกหรือไม่ ก็หลีกเลี่ยงไม่พ้น ในฐานะที่คุณสรยุทธเป็นผู้บริหารบริษัทไร่ส้มด้วย เป็นผู้อ่านข่าวด้วย ซึ่งแยกแยะบทบาทกันไม่ออก มีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของเขาอยู่แล้ว” นายเทพชัย กล่าวและว่า เมื่อศาลพิพากษาว่ามีความผิดเรื่องทุจริต แสดงให้เห็นว่าได้ใช้ดุลพินิจแล้ว มีหลักฐานชัดเจนว่านายสรยุทธมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ด้วย ฉะนั้นตนคิดว่าถ้าช่อง 3 ยังตัดสินใจให้นายสรยุทธทำหน้าที่ต่อไป ตนเชื่อว่าช่อง 3 ต้องเจอคำถามเรื่องนี้ทุกวัน ซึ่งไม่แน่ใจว่าคุ้มค่าหรือไม่ ตนเชื่อว่าปฏิกิริยาจากสังคมเรื่องนี้จะแรงมากกว่าช่วงที่ผ่านมา เพราะถือว่าคดีนี้มีคำพิพากษาออกมาแล้ว
“เชื่อว่าไม่ได้เป็นปฏิกิริยาจากผู้ชมอย่างเดียว แต่จะมาจากเอเจนซี่โฆษณา บริษัทที่เป็นเจ้าของสินค้าที่โฆษณา และจากองค์กรต่อต้านคอรัปชั่น ซึ่งช่อง 3 ก็คงต้องดูว่าคุ้มค่ากันหรือไม่ ซึ่งช่อง 3 ก็คงต้องตอบคำถามทุกวัน และคุณสรยุทธก็คงจะเหนื่อยแน่ ที่ปรากฏตัวบนจอทุกวัน แล้วต้องเจอคำถาม คิดว่าเป็นความท้าทายช่อง 3 เพราะคนในสังคมมีสิทธิ์ที่จะรู้สึก และยอมรับตัวบุคคลที่ถูกกระบวนการยุติธรรมพิพากษาหรือไม่”
นายเทพชัย กล่าวว่า อย่างน้อยก็หวังว่าช่อง 3 และนายสรยุทธจะเคารพคนดู เพราะเรื่องนี้จะเป็นบททดสอบความเป็นวิชาชีพของช่อง 3 และนายสรยุทธ ถือเป็นบทเรียนในยุคที่การแข่งขันของสื่อสูง ในแง่ความอยู่รอดของสื่อ องค์กร แต่สำคัญคือต้องถามตัวเองถึงบทบาทของสื่อคืออะไร การตรวจสอบสังคม เป็นปากเสียงแทนสังคม แต่ต้องตอบตัวเองเรื่องกระบวนการทำงานที่โปร่งใส ซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพ ธุรกิจสื่อไม่ควรมุ่งหวังกำไรอย่างเดียว เชื่อว่าสังคมมีความคาดหวังว่า สื่อต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม ในแง่ต้องเป็นแบบอย่างที่ดี เพราะสื่อเรียกร้องให้นักการเมือง ข้าราชการ ซื่อสัตย์ ไม่ทุจริต สื่อก็ต้องทำเป็นตัวอย่าง ทั้งตัวองค์กรและบุคลากรด้วย
จี้ช่อง 3 รับผิดชอบพฤติกรรม “สรยุทธ”
นายมานะ มิตรมงคล เลขาธิการองค์กรต่อต้านคอรัปชั่น (ประเทศไทย) กล่าวถึงกรณีที่นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง ถูกศาลอาญาพิพากษาจำคุก 13 ปี ในคดียักยอกเงินค่าโฆษณาเกินเวลา ว่าการแก้ไขปัญหาคอรัปชั่นที่หลายคนเรียกร้องนั้น เป็นเรื่องที่ภาครัฐและเอกชนต้องทำร่วมกัน ซึ่งกรณีดังกล่าวจะต้องอยู่ในดุลพินิจต้นสังกัดของนายสรยุทธ ว่าจะมีกระบวนการให้เขารับผิดชอบต่อกรณีนี้อย่างไร หรือทำในสิ่งที่เป็นแบบอย่างที่ดีให้สังคมได้รับรู้อย่างไรบ้าง ทั้งนี้หากต้นสังกัดยังให้นายสรยุทธปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ ก็จะเป็นเรื่องของสังคม ว่าจะตอบรับกับเหตุการณ์นี้อย่างไร ถ้าการกระทำของต้นสังกัดขัดกับความรู้สึกหรือความคิดของประชาชน ก็จะมีปฏิกริยาต่อเรื่องนี้เอง
นายมานะ กล่าวอีกว่า ถ้ากรณีนี้เกิดขึ้นกับภาครัฐ หรือฝ่ายการเมือง ที่ถูกชี้มูลความผิดโดย คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือถูกศาลตัดสินให้มีความผิดแล้ว ประเด็นเรื่องของการพักการทำงานของผู้ดำรงตำแหน่งก็จะถูกหยิบยกขึ้นมาพูด หรือถ้านักร้องนักแสดง หากมีพฤติกรรมอื้อฉาวที่สังคมไม่ยอมรับ ทางต้นสังกัดก็จะสั่งพักการทำงานของนักร้องและนักแสดงเหล่านั้น ซึ่งเมื่อถามว่ากรณีของนายสรยุทธจะแตกต่างกับ 2 กรณีที่หยิบยกมาหรือไม่ ก็ต้องดูกันต่อไป “เนื่องจากคดียังไม่สิ้นสุด และไทยเองก็ไม่ได้มีกฎกติการรองรับในเรื่องการแสดงความรับผิดชอบนี้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องของสามัญสำนึก และความรับผิดชอบต่อสังคม และสุดท้ายแล้วสังคมจะเป็นผู้ตัดสินว่ารับได้หรือรับไม่ได้กับการกระทำของเขา” นายมานะ กล่าว
ช่อง 3 ถกด่วนคดี “สรยุทธ”
วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่อาคารมาลีนนท์ว่า ทางผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ได้เรียกประชุมด่วนตั้งแต่เวลาประมาณ 15.00 น. เพื่อพิจารณากรณีที่ศาลอาญามีคำพิพากษา จำคุกนายสรยุทธ สุทัศนจินดา พิธีกรของช่อง 3 และเป็นกรรมการผู้จัดการ บ.ไร่ส้ม จำกัด ในคดีที่ บ.ไร่ส้มยักยอกเงินโฆษณาที่ต้องส่งให้ บริษัม อสมท ระหว่างวันที่ 4 ก.พ.2548-28 เม.ย.2549 ส่งผลให้บริษัท อสมท เสียหายกว่า 138 ล้านบาท
นายสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ รักษาการกรรมการผู้จัดการสถานีโทรทัศน์ ช่อง 3 เปิดเผยว่า ทางผู้บริหารขอประชุมเกี่ยวกับแนวทางกรณีของนายสรยุทธเพื่อกำหนดแนวทางต่อไป แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถบอกได้ เนื่องจากต้องรอประชุมร่วมกับผู้บริหารอื่นก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงข่าวภาคค่ำสถานีโทรทัศน์ ไทยทีวีสีช่อง 3 ได้งดรายการ “เจาะข่าวเด่น” แต่ขยายเวลาช่วงข่าวเด่นเย็นนี้ และมีการรายงานข่าวกรณีของนายสรยุทธด้วย
script async src=pagead2.googlesyndication.compageadjsadsbygoogle.jsscript !-- postkhao news -- ins class=adsbygoogle style=displayinline-block;width300px;height250px data-ad-client=ca-pub-6697876461005906 data-ad-slot=5228315875ins script (adsbygoogle = window.adsbygoogle []).push({}); script
ที่มา:banmuang
0 comments:
Post a Comment