ก็พอเปิดศักราชใหม่มา รัฐบาลก็ต้องเผชิญกับเหตุการณ์น้ำท่วมภาคใต้ที่ หนักหนาสาหัสสากรรจ์ที่สุดในรอบครึ่งศตวรรษ ในระดับเดียวกับมหาอุทกภัยปี 2554 เพียงแต่ย้ายภูมิภาคไปเกิดที่พื้นที่ภาคใต้ของประเทศ แม้รัฐบาลจะระดมสรรพกำลังให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่ แต่ก็ไม่เท่าทันความเดือดร้อนที่นับวันจะกระจายไปในวงกว้างมากขึ้นจนครอบคลุมแทบทุกหัวระแหงของปลายด้ามขวานไทย
ขณะเดียวกันยังต้องหืดจับกับภาวะเศรษฐกิจที่ยังลูกผีลูกคน ที่แม้จะให้เครดิต สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าทีมเศรษฐกิจรัฐบาล ในการเสริมทัพรัฐมนตรีเข้ามาช่วยขับเคลื่อนงานด้านเศรษฐกิจ พร้อมตั้งเป้าหมายในปี 2560 เศรษฐกิจจะขยายตัวได้ในกรอบ 3-4% โดยหวังพึ่งนโยบายความหวังอย่าง “ประชารัฐ - ไทยแลนด์ 4.0” ตลอดจนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่มีสัญญาณเป็นบวกมากขึ้นในช่วงเปิดหัวศักราชใหม่
นอกเหนือจากการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและการแก้ปัญหาเรื้อรังแล้ว เปิดหัวปีใหม่มา “รัฐบาลลุงตู่” ก็ต้องเจอกับสารพัดคำถามที่เกี่ยวกับ “โรดแมป คสช.” ที่ฝ่ายการเมืองต่างออกมาทวงถามสัญญา วัน ว. เวลา น.ที่จะจัดให้มีการเลือกตั้งภายในปี 2560 เป็นสัญญาณเตือนว่า ปีระกา 2560 นี้ การเมืองจะเริ่มขยับแรงขึ้น หลังกล้าๆ กลัวๆ สงวนท่าทีมาตลอด 2 ปีครึ่งหลังการรัฐประหารพฤษภาคม 2557
ไม่เพียงเท่านั้นยังมี “คิวพิเศษ” เข้ามาสอดแทรก ซึ่งเป็นไปตามเสียงลือเสียงเล่าอ้างในช่วงรอยต่อข้ามปี ก่อนที่ “บิ๊กตู่” จะเป็นผู้เฉลยว่า ได้รับการประสานจาก สำนักราชเลขาธิการ ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557 เพื่อเปิดช่องให้มีการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2559 หรือฉบับที่ผ่านประชามติไปแล้ว ที่นำขึ้นทูลเกล้าฯ ไปเมื่อช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน 2559
โดย “บิ๊กตู่” คาดว่าจะใช้เวลาสำหรับกระบวนการนี้ไม่เกิน 3 เดือน เท่ากับเป็นไฟต์บังคับว่า โรดแมป คสช.จะยืดระยะเวลาไปอีกอย่างน้อยๆ 3 เดือน เช่นเดียวกับการเลือกตั้งที่ต้องขยับเขยื้อนออกไปเล็กน้อย พอเข้าอีหรอบนี้ก็ดูเหมือนทุกองคาพยพจะเข้าใจในเหตุผลและความจำเป็นของรัฐบาล คสช.เสียงเพรียกหาการเลือกตั้งปลายปี 2560 ก็ดูจะซาๆ ลงไป ในอารมณ์ต้องรอจังหวะเข้าประชิดรอบใหม่ เมื่อโรดแมป คสช.ไร้คิวแทรกและมีความชัดเจนมากกว่านี้
“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการปฏิรูปและปรองดอง หรือ “Mini Cabinet” นัดแรก เมื่อวันที่ 12 มกราคม ที่ผ่านมา
ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามดูเหมือนจะยังมึนอยู่กับ “คิวแทรก” ออกมาแสดงความคิดเห็นไม่ถูก และต้องปรับทัพ เรียงแผนกันใหม่ แต่ฝ่ายรัฐบาล คสช. โดย “นายกฯลุงตู่” ก็ไม่รอท่า ประกาศคิกออฟเดินหน้า “ภารกิจปฏิรูปปรองดอง” ขึ้นมาทันที โดยการใช้อำนาจหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตามมาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ในการตั้ง คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการปฏิรูปและปรองดอง ที่มีชื่อเล่นว่า “Mini Cabinet” หรือ “ครม.ชุดเล็ก” โดยมีภารกิจในการขับเคลื่อนภารกิจเร่งด่วน 3 เรื่อง คือ 1.เรื่องยุทธศาสตร์ชาติ 2.เรื่องการสร้างความปรองดอง และ 3.เรื่องการปฏิรูป ซึ่งได้มีการประชุมนัดแรกกันไปแล้วเมื่อวันที่ 12 มกราคมที่ผ่านมา
สาเหตุที่ผู้นำรัฐบาลหยิบเรื่องการปฏิรูป-ปรองดองขึ้นมาบนฟลอร์อีกครั้ง เพราะรู้ดีว่าตลอดกว่า 30 เดือนภายใต้การบริหารของ คสช.นั้น อาจพูดได้ว่า คสช.นำมาซึ่งความสงบ เป็นระเบียบเรียบร้อยในบ้านเมือง แต่กลับไร้รูปธรรมใดๆเกี่ยวกับความปรองดองสมานฉันท์ สะท้อนได้จากกลุ่มคนที่มีความเห็นต่างใช้เนื้อหาสร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) กันดาษดื่นสังคมออนไลน์ จนนายกฯต้องออกปากปรามแล้วปรามอีก ทั้งกลุ่มที่จงใจยุยงปลุกปั่น และกลุ่มที่ถูกชักจูงให้ไปติดอยู่ในวังวนแห่งความขัดแย้ง
“ผู้จัดการสุดสัปดาห์” เคยใช้พื้นที่นี้ฟันธงไปแล้ว หากภาวการณ์ยังเป็นเช่นนี้ คงยากที่จะเห็นการเลือกตั้งในเร็ววัน
การที่ “รัฐบาลประยุทธ์” เร่งขับเคลื่อนงานปฏิรูปปรองดองโดยขีดเส้นให้เห็นผลเป็นรูปธรรมภายใน 1 ปี จึงเป็นสัญญาณในการจัดระเบียบภาวะทางอารมณ์ของผู้เห็นต่างทุกกลุ่ม เพื่อเตรียมรับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นช่วงปลายปี 2560 ตามที่คนในรัฐบาลระบุ หรือช่วงกลางปี 2561 ตามไทม์ไลน์ที่ขยับหลังจากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ที่กำลังดำเนินการอยู่ในตอนนี้
แต่นั่นเป็นเพียง “หน้าฉาก” หรือเรียกว่าการสร้างบรรยากาศปรองดองอย่างเป็นทางการ ขณะที่ “หลังฉาก” หรือภารกิจสร้างความปรองดองอย่างไม่เป็นทางการ แต่เป็นรูปธรรมมากกว่า ก็มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจไม่น้อย โดยมี “ตัวละครสำคัญ” หลายผู้หลายคนเริ่มมี “มูฟเมนต์” ที่วางตาไม่ได้
ตัวละครหลักคนหนึ่งที่ฝ่ายรัฐบาลทหารส่งเข้าประกวด ก็มีชื่อของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่รับเป็น “โต้โผ” คุมงานทำยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความปรองดองอย่างเต็มตัว หลังจากที่ผ่านมาแม้จะเป็นประเด็นสำคัญในระดับวาระแห่งชาติ แต่ก็เป็น “เผือกร้อน” ที่หลายคนรังเกียจรังงอนไม่อยากเข้ามายุ่งด้วย เพราะต่างรู้กันดีว่าเป็นประเด็นซับซ้อนซ่อนเงื่อนที่ไม่แน่จริงคงไม่มีปัญญาเข้ามาสะสาง
“บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หรือ “มิสเตอร์ปรองดองคนใหม่” ในฐานะโต้โผคุมงานทำยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความปรองดองเต็มตัว
แต่งานนี้ “บิ๊กป้อม” ผู้ที่ถูกจับตามองว่า บทบาทในฐานะ “พี่ใหญ่ คสช.” ลดลงมาเป็นลำดับ กลับแอ่นอกรับหน้าเสื่อด้วยตัวเอง คล้ายกับประกาศว่า “อั๊วนี่แหละ มิสเตอร์ปรองดอง” ซึ่งหากไม่แน่จริงคงไม่ประกาศโจ่งๆขนาดนี้
ในจังหวะเดียวกันก็มีความเคลื่อนไหวของ เสรี สุวรรณภานนท์ ประธานคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ที่ออกมา “โยนหินถามทาง” ซ้ำอีกรอบในเรื่องการออก กฎหมายรอการกำหนดโทษเพื่อการปรองดอง โดยให้ผู้กระทำผิดในคดีการเมืองตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2549 ถึงวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 เข้ามอบตัวยอมรับผิดตามที่ถูกฟ้อง จะเสนอให้ศาลจำหน่ายคดีออกไปแบบมีเงื่อนไขห้ามยุ่งเกี่ยวทางการเมือง ตีคลุมไปถึงคดียึดสนามบิน สถานที่ราชการ มีความผิดเล็กน้อยหรือมีเจตนาไม่ร้ายแรงด้วย ตลอดจนมีเงื่อนไขเปิดทางให้คนหนีคดีกลับมาต่อสู้คดี และสามารถประกันตัวได้ เว้นแต่คดีความผิดร้ายแรง ที่ต้องต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป ส่วนระดับแกนนำหากยอมรับผิด ก็จะเสนอขอให้ศาลใช้ดุลพินิจลงโทษสถานเบา
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นหลักการที่คุยกันมานานนม แต่ก็เข้าทำนอง “ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ พอเหลาลงกลายไปเป็นบ้องกัญชา” เป็นหลักการเดียวกับ “ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม” สมัยรัฐบาลเพื่อไทย ที่เหลาไปเหลามากลายเป็น “พ.ร.บ.สุดซอย” จนรัฐบาลต้องพังครืนลงไป อีกทั้ง “เสรี” เองก็เคยเสนอมาแล้วหนหนึ่งเมื่อช่วงกลางปี 2559 ที่ผ่านมา แต่เรื่องก็เงียบไป ซึ่งตามปกติก็เหมือน “ของเสีย” ที่ไม่น่าจะมีการนำขึ้นมาเป็นประเด็นอีก
แต่นี่เป็น เสรี สุวรรณภานนท์ ผู้ได้ชื่อว่าเป็น “ลูกกรอก คสช.” คนหนึ่ง พร้อมออกหน้า “โยนหินถามทาง” ตามบัญชาของระดับนโยบายเสมอ ก็ต้องฟังไว้แบบดูเบาไม่ได้
อีกความเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกับกระแสปรองดองไมน้อย คือการที่ศาลเมตตาปล่อยตัวชั่วคราว “ตุ๊ดตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ภายหลังจากทนายความ ยื่นคำร้องเป็นครั้งที่ 7 พร้อมกำชับว่าห้ามทำผิดเงื่อนไขของศาลในการปล่อยตัวชั่วคราวอีก โดยเฉพาะการยั่วยุ ปลุกปั่น ปลุกระดม เพื่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ซึ่งก็เท่ากับเป็นการ “แช่แข็ง” นายจตุพรในฐานะแกนนำ นปช.ไปโดยปริยาย
ซึ่งจากนี้ตัวนายจตุพรที่สวมหมวกประธาน นปช.อยู่ก็คงติดเบรกทุกความเคลื่อนไหวของกลุ่ม เพื่อไม่ให้กระทบกับอิสรภาพของตัวเอง อย่าว่าแต่พูดปราศรัยจัดรายการที่ แต่คิดดังๆ ยังไม่กล้าเลยมั้ง จึงเชื่อว่าจากนี้ไปกลุ่มคนเสื้อแดง หรือ นปช.คงนิ่งสงบอยู่ในที่ตั้งอีกพักใหญ่ๆ และคงไม่ร่วมหัวจมท้ายเป็น “แนวหน้า” ให้กับทางพรรคเพื่อไทย หรือ “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร เหมือนที่ผ่านๆ มา
ครั้นจะมองหาตัวตายตัวแทนมาเป็นผู้นำแทนนายจตุพร ก็ล้วนแล้วแต่ไม่มีเพาเวอร์พอที่จะคอนโทรลกลุ่มได้ โดยเฉพาะ “เดอะเต้น” ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ถูกมองว่าเป็นเบอร์ 2 รองจากนายจตุพรก็ตาม อีกทั้งแต่ละคนในบรรดาแกนนำก็ยังมีคดีปักหลังอยู่เพียบ ล่าสุด ศาลอุทธรณ์ ก็เพิ่งพิพากษาคดีชุมนุมล้อมบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เมื่อปี 2550 จำเลยสำคัญมีทั้ง ณัฐวุฒิ - วีระกานต์ มุสิกพงศ์ - วิภูแถลง พัฒนภูมิไท - เหวง โตจิราการ แม้จะได้ลดโทษ 1 ใน 3 ของศาลชั้นต้นจากคำให้การที่เป็นประโยชน์ แค่ก็มีโทษติดคุกคนละ 2 ปี 8 เดือน ทดกันไว้ในใจ
จึงพูดได้ว่าการปล่อยตัว “จตุพร” เป็นตัดแขนขา หรือการโดดเดี่ยว “ระบอบทักษิณ” ก็คงไม่ผิดนัก จนดูท่าตอนนี้หมากที่ “ทักษิณ” ยังใช้ได้คงเหลือแต่ “เดอะไก่” วัฒนา เมืองสุข เท่านั้น
อีกเกมที่ “ขุนทหาร” ยังยึดโมเดลเดิมก็คือเรื่องการสร้างเครือข่ายทางการเมือง เพื่อคะคานความนิยมของทางพรรคเพื่อไทย หรือ “ระบอบทักษิณ” คล้ายกับที่เคยพยายามทำมาแล้วสมัย คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช. เมื่อปี 2549 กับ “พรรคเพื่อแผ่นดิน” หรือสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็เคยใช้ “พรรคภูมิใจไทย” ของ เนวิน ชิดชอบ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอีสานใต้ เปิดหน้าชนกับฝ่ายทักษิณ แต่ก็พังพาบไม่เป็นท่าทั้งสองครั้งสองครา
เกมนี้ “ขุนทหาร” คงมองว่า “ผิดเป็นครู” คงหวังใช้ประสบการณ์ความผิดพลาด 2 ครั้งล่าสุดมาปรับปรุงแก้ไข เพื่อต่อกรกับทางพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งครั้งใหม่ แต่เมื่อพรรคเพื่อไทยยังเกาะกันแน่น ไม่แตกรังเหมือนเช่นที่คาดการณ์ไว้ ตัวเลือกที่จะเดินงานในส่วนนี้จึงค่อนข้างจำกัด
ก่อนหน้านี้ก็เคยมีแนวคิดจะใช้ “หญิงหน่อย” สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ นักการเมืองหญิงผู้โด่งดัง ผ่านคอนเนคชัน “บิ๊กกี่” พล.อ.นพดล อินทปัญญา สมาชิก สนช. เพื่อนซี้ของ “บิ๊กป้อม” ที่เพิ่งรับตำแหน่งที่ปรึกษา และเลขานุการคณะที่ปรึกษา คสช.ไปหมาดๆ แต่สไตล์เจ๊าะแจ๊ะแบบ “หญิงหน่อย” ก็ยังไม่โดนใจ “บิ๊ก คสช.” มากนัก
เนวิน ชิดชอบ นักการเมืองคนดัง ที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับผู้ใหญ่ในรัฐบาล คสช.
ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีผู้กำลังหาทางกลับประเทศไทยและกลับคืนสู่อำนาจ โดยไม่ต้องติดคุกติดตะราง
จะไปใช้ สุเทพ เทือกสุบรรณ กำนันแห่ง กปปส. ก็ไม่ตอบโจทย์ เพราะไม่สามารถเจาะฐานเสียงทางอีสานจากของพรรคเพื่อไทยได้ อีกทั้งยังมีภารกิจในการเข้ายึดพรรคประชาธิปัตย์ ดีดกลุ่ม “นายหัวมาร์ค - นายหัวชวน” ให้พ้นพรรคที่ยังไม่สะเด็ดน้ำอีกด้วย
“ขุนทหาร” จึงต้องเรียกใช้บริการ “เนวิน” ที่มีคอนเนกชันแน่นปึ้กกับระดับบิ๊กใน คสช.อีกครั้ง เป้าหมายที่วางไว้ ไม่ถึงขนาด “พลิกล็อก” เอาชนะฝ่ายทักษิณแบบถล่มทลาย แต่ต้องตัดคะแนนความนิยมมาให้ได้มากที่สุด
แม้จะยังล็อกแข้งล็อกคขาไม่ให้ฝ่ายการเมืองเคลื่อนไหวได้ โดยคาดว่ากว่าจะปลดล็อกก็ปาเข้าไปช่วงปลายปี 2560 หรือก่อนการเลือกตั้งไม่กี่เดือนเท่านั้น แต่สำหรับทีมงานที่พะยี่ห้อ “เนวิน” ตอนนี้ได้รับไฟเขียวเดินงานการเมืองได้อย่างสะดวกโยธิน
ดูท่าแล้วแผนของขุนทหารอาจจะติดหล่มตั้งแต่ยังไม่ไปไหน แล้วกลายเป็นการ “ตีโง่” ให้ฝ่ายตรงข้าม เพราะเผอิ๊ญ...เผอิญ เพิ่งมีข่าว “หลุด” เลื่องลือในกลุ่มนักการเมืองว่า “เนวิน” ผู้ถือตราตั้งจากขุนทหาร อาจจะรู้ศักยภาพของตัวเอง จากความพ่ายแพ้อย่างยับเยินในการเลือกตั้งปี 2554 และก็ฉลาดพอที่จะรู้ว่าต่อกรกับใครอยู่ แทนที่จะเดินงานตามใบสั่งให้ คสช. แต่กลับเลือกต่อสายทางไกลเบอร์เดิมกับที่เคยลั่นวาทะดัง “มันจบแล้วครับนาย” แต่คราวนี้พูดไปในทำนอง “เรามาเริ่มต้นกันใหม่ไหมครับนาย”
จะว่าไปตลอดระยะเวลาตั้งแต่ปี 2552 ที่ “เนวิน” แปรพักตร์มาจับมือกับตั้งรัฐบาลประชาธิปัตย์ “เนวิน - ทักษิณ” อยู่ในสภาพไม่เผาผีกันมานาน มีเพียงความพยายามของบางคนที่อยากให้ทั้งคู่กลับมาคืนดีกันเพื่อร่วมกันสร้างขุมกำลังทางการเมืองให้แข็งแกร่งดังเช่นยุคหลังปี 2544 โดยเฉพาะ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกุล ที่ขี่เจ็ตส่วนตัวเทียวไปเทียวมาหา “ทักษิณ” อยู่หลายรอบ ก็ยังไม่สำเร็จ
วิชัย ศรีวัฒนประภา เจ้าสัวใหญ่แห่งกลุ่มบริษัทคิงเพาเวอร์ ที่ว่ากันว่าเป็นตัวเชื่อมสัมพันธ์ระหว่าง เนวิน ชิดชอบ กับ ทักษิณ ชินวัตร ในตอนนี้
แต่โซ่ข้อกลางที่มีคุณภาพมากกว่า และยังเชื่อมสัมพันธ์ระหว่าง “ทักษิณ - เนวิน” ไม่ให้ขาดสะบั้นไปมากกว่าในอดีต กลับเป็น วิชัย ศรีวัฒนประภา เจ้าสัวใหญ่แห่งกลุ่มบริษัทคิงเพาเวอร์ มากกว่า
จนไปๆมาๆแผนการสร้างความปรองดองของ “บิ๊กทหาร” พยายามปลุกปั้นขึ้นมา อาจพังครืนลงกลายเป็น “ดีลเกี๊ยะเซียะ” ของคนหน้าเดิมๆ อีกแล้วครับท่าน
ส่วนตื้นลึกหนาบางระหว่าง “เนวิน - ทักษิณ - วิชัย” จะเป็นอย่างไรนั้น ต้องติดตามตอนต่อไป...
ที่มา: manager
0 comments:
Post a Comment