เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2560 เว็บไซต์เดลี่เมล เผยรายงานชวนอึ้ง ระบุว่า ศาลรัฐมิชิแกน สหรัฐฯ ได้พิจารณาคดีของ เกลนนา ดูรัม วัย 49 ปี หลังจากถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมข้อหา ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เนื่องจากได้ก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิง มาร์ติน ดูรัม สามีวัย 46 ปี จนเสียชีวิตในบ้านที่เมืองเนเวย์โก ก่อนจะพยายามยิงตัวเองตายตามแต่ไม่สำเร็จ โดยโศกนาฏกรรมครั้งนี้ มีพยานหนึ่งเดียวที่อยู่ในเหตุการณ์นั่นก็คือ เจ้าบัด นกแก้วสัตว์เลี้ยงของมาร์ติน
ฆ่าสามี
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อปี 2558 โดยตอนแรกหลังจากเกิดเหตุ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีพยานหลักฐานที่สามารถยืนยันว่า เกลนนา เป็นผู้ลงมือฆ่าสามีตัวเอง จากนั้น เจ้าบัด นกแก้วสีเทา สายพันธุ์แอฟริกันเกรย์ ได้ถูกส่งไปอยู่กับ คริสตินา เคลเอลร์ ภรรยาเก่าของมาร์ติน ซึ่งต่อมาเธอเปิดเผยว่า เธอได้ยินเจ้านกแก้วตัวนี้ร้องเลียนเสียงของมาร์ติน เป็นคำพูดอ้อนวอนให้ไว้ชีวิต โดยมันพูดซ้ำ ๆ ว่า "อย่ายิง" คริสตินา จึงเชื่อว่า มันจะต้องเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนวันที่มาร์ตินเสียชีวิตอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ดี อัยการรายหนึ่งมีความเห็นว่า ไม่สมควรใช้นกแก้วเป็นหลักฐานสำคัญในคดีการฆาตกรรม ขณะที่ด้านพ่อและแม่ของมาร์ติน มั่นใจว่า นกแก้วตัวนี้จะต้องเปิดเผยปริศนาการเสียชีวิตของลูกชายได้อย่างแน่นอน โดยพวกเขาเผยว่า มันจะต้องรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะนกแก้วจะนำสิ่งที่มันได้ยินมาพูด ในที่สุดจึงได้มีการนำนกแก้วมาร่วมใช้เป็นพยานในคดี และนำมาซึ่งการสืบสวน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้นำมันมาขึ้นศาลด้วยแต่อย่างใด
การพิจารณาคดีใช้เวลาอยู่นานถึง 10 วัน เนื่องจากทางทนายของ เกลนนา ฝ่ายจำเลย ได้พยายามรวบรวมข้อมูลด้านการเข้ารับการรักษาอาการป่วยของเธอ เพื่อที่จะใช้เป็นหลักฐานโน้มน้าวให้คณะลูกขุนเชื่อว่า เธอมีจิตใจไม่ปกติในขณะที่ก่อเหตุ
อย่างไรก็ดี ความพยายามของทนายของเกลนนาไม่เป็นผล ในที่สุดศาลมีคำตัดสินออกมาว่าเธอมีความผิดในข้อหาดังกล่าวจริง โดยหลังจากที่เธอได้รับฟังคำตัดสินดังกล่าวถึงกับลุกขึ้นมาแสดงท่าทีไม่พอใจอย่างเปิดเผย
ด้านแม่ของมาร์ตินเผยหลังการพิจารณาคดี ระบุว่า แม้ว่าจะยังคงรู้สึกเสียใจกับการจากไปของลูกชาย แต่ก็รู้สึกสบายใจที่พบตัวคนผิดที่แท้จริง หลังจากรอคำตัดสินอย่างทรมานมานานถึง 2 ปีด้วยกัน
สำหรับ เกลนนา มีนัดรับฟังการตัดสินโทษจากศาล ในวันที่ 28 สิงหาคม 2560 ซึ่งคาดว่าเธอจะถูกส่งตัวเข้าชดใช้กรรมในคุกหลังจากนั้น
ที่มา: kapook
0 comments:
Post a Comment