Sunday, July 23, 2017

Tagged Under:

อ้างชาวบ้านเห็นใจ‘ปู’ พท.โวย‘คสช.’ ห้ามม็อบมาวันพิพากษา

By: news media On: 6:31 PM
  • Share The Gag
  • อ้างชาวบ้านเห็นใจ‘ปู’

    พท.โวย‘คสช.’

    ห้ามม็อบมาวันพิพากษา

    บอกอย่าตกใจเชื่อไม่มีวุ่นวาย

    ชี้ขัดสายตา‘ปชช.’-สังคมโลก

    ยก‘ยิ่งลักษณ์’สุภาพสตรีนักสู้

    ‘วัฒนา’เหน็บหนัก‘เผด็จการ’

    เพื่อไทย โวยคสช.ห้ามชาวบ้านให้กำลังใจ “ยิ่งลักษณ์” วันพิพากษาคดีจำนำข้าว วอนอย่าตกใจเพราะจะไม่มีความวุ่นวาย ชี้กองเชียร์ศรัทธาต่ออดีตนายกฯปู ที่ได้รับประโยชน์จากการจำนำข้าวอย่างแท้จริง “วัฒนา เมืองสุข”โพสต์หนักกำลังต่อสู้กับเผด็จการ เหน็บ “ประยุทธ์” ถ้าเหนื่อยก็ควรให้คนอื่นมาทำงานแทน

    เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม นายชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย(พท.) ให้สัมภาษณ์แสดงความห่วงใยกรณีกรณีกระแสข่าวจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ส่งเจ้าหน้าที่ไปชี้แจงและขอความร่วมมือประชาชนให้ติดตามการพิพากษาคดีจำนำข้าวของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 25 ส.ค. ที่บ้านของตัวเอง ไม่ต้องเดินทางมาในกทม. ว่า  อยากฝากไปถึงผู้มีอำนาจว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต่อสู้คดีอย่างตรงไปตรงมา เป็นสุภาพสตรีที่มีความกล้าหาญพร้อมชี้แจง และตนมีความมั่นใจในความสุจริตใจของน.ส.ยิ่งลักษณ์

    ซึ่งจากการที่ตนได้เดินทางไปให้กำลังใจน.ส.ยิ่งลักษณ์ เกือบทุกครั้งที่ไปขึ้นศาล พบว่าคนที่มาให้กำลังอยู่ในระเบียบ ไม่มีการละเมิดอำนาจศาลแต่ประการใด ส่วนใหญ่เป็นสุภาพสตรีชาวนาที่ได้รับประโยชน์จากโครงการรับจำนำข้าวอย่างแท้จริง

    พท.อ้างชาวบ้านผูกพันยิ่งลักษณ์

    ส่วนอดีตส.ส.ที่เดินทางมาให้กำลังใจก็ต่างมีความผูกพัน จึงขอให้รัฐบาล คสช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง อย่าวิตกว่าในวันดังกล่าวจะมีความวุ่นวาย และที่สำคัญในเดือนตุลาคมนี้ จะมีพระราชพิธีสำคัญเชื่อว่าคนไทยทุกคนต่องการสร้างบรรยากาศที่ดีให้กับประเทศ การควบคุมหรือจำกัดสิทธิ เสรีภาพคนที่จะมาให้กำลังใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จึงไม่น่าจะถูกต้องในสายตาประชาชนและสังคมโลก

    เมื่อถามว่า ในวันดังกล่าวคาดว่าจะมีมวลชนมาให้กำลังใจจำนวนมากหรือไม่ นายชวลิต กล่าวว่า ไม่สามารถคาดการณ์ได้ เพราะเป็นเรื่องของความศรัทธา ไม่ใช่เรื่องการจัดการ อีกทั้งพื้นที่บริเวณศาลก็มีจำกัด เชื่อว่าจะมีประชาชนส่วนหนึ่งอยู่ให้กำลังใจที่บ้าน

    ‘วัฒนา’ชูยืนหยัดสู้เพื่อความถูกต้อง

    ด้าน นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพท. โพสต์ข้อความแสดงความเห็น เรื่อง”ความถูกต้องต้องมีที่ยืน”ระบุว่า วันศุกร์ที่ผ่านมาผมกับน้องเฟเดินทางไปศาลฎีกาฯ เพื่อร่วมกับประชาชนที่มาให้กำลังใจนายกยิ่งลักษณ์ในการพิจารณาคดีนัดสุดท้าย ประชาชนจำนวนมากยังคงมาด้วยความศรัทธาทั้งที่ฝ่ายเผด็จการใช้ทุกวิธีที่จะสกัด

    ฟังพยานอดีตหัวหน้าคลังสินค้าที่เบิกความว่า “หลังรัฐประหาร รัฐบาล คสช. สั่งให้ยกเลิกติดกล้องวงจรปิดบริเวณโกดังเก็บข้าว สั่งห้ามเปิดโกดังเพื่อรมยาจนเป็นเหตุให้ข้าวเสื่อมสภาพ ทั้งยังกำหนดมาตรฐานการตรวจสอบคุณภาพข้าวเองและขายข้าวดีในราคาข้าวเสื่อมคุณภาพทำให้ประเทศได้รับความเสียหาย

    ” ผมเชื่อว่าประชาชนที่มีความเป็นกลางคงได้ข้อสรุปตามที่ผมยืนยันมาโดยตลอดว่า โครงการรับจำนำข้าวถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อยึดอำนาจและทำลายพรรคเพื่อไทย โดยมีนายกยิ่งลักษณ์เป็นผู้รับเคราะห์พร้อมกับชาวนา พฤติกรรมแห่งคดีตั้งแต่ชั้น ป.ป.ช. ที่เร่งรัดจนแซงทุกคดีที่เกิดก่อน จากนั้นออกคำสั่งหัวหน้า คสช. ย้ายอัยการสูงสุด รวมถึงหัวหน้า คสช. สั่งการเองในที่ประชุมให้เร่งรัดดำเนินคดีโดยมีบันทึกรายงานการประชุม กบข. ครั้งที่ 3/2558 เป็นหลักฐานว่า

    บอกต้องต่อสู้กับ’เผด็จการ’

    “ไม่ต้องพิจารณาประเด็นยุติธรรม” คือหลักฐานที่พิสูจน์เจตนาทั้งหมด การต่อสู้คดีครั้งนี้จึงไม่ได้เดิมพันด้วยอิสรภาพของท่านเท่านั้น เพราะมันคือการต่อสู้ระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยและฝ่ายนิยมเผด็จการ”นายวัฒนาระบุ

    และว่า เสร็จการพิจารณาคดีผมบอกท่านว่า คดีนี้ผู้พิพากษาไม่ได้มีเพียง 9 คน เพราะยังมีประชาชนที่รักความเป็นธรรมอีกหลายสิบล้านคนทำหน้าที่เป็นผู้พิพากษาเช่นกัน ประชาชนจะไม่ปล่อยให้ท่านเป็นผู้รับกรรมจากการรัฐประหารเพียงลำพังอย่างแน่นอน

    มีคนตั้งคำถามว่า “มาให้กำลังใจแล้วได้อะไร” ประชาชนฝากตอบว่า “ได้มาเห็นความกล้าหาญของอดีตนายกหญิงที่มาศาลยอมให้ตรวจสอบด้วยความศรัทธาว่าความถูกต้องต้องมีที่ยืน

    บิ๊กตู่ไม่มีสิทธิบนว่าเหนื่อย

    นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา แกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี บ่นว่าทำงานเหนื่อย เพราะต้องตามแก้ปัญหาที่รัฐบาลที่แล้วทำไว้ ทั้งเรื่องข้าว เรื่องยาง ฯลฯ ว่า ตนคิดว่า บ่นไม่ได้นะ ซึ่งที่บ่นไม่ได้ก็เพราะว่า ไม่มีใครเขาเชิญมา และคุณเองก็ไม่ได้มาอย่างถูกต้องตามกฎหมายด้วย แล้วคุณจะบ่นอะไร

    “หากเหนื่อยมากก็ให้คนอื่นเขาทำ ไม่มีปัญหาอะไร จัดเลือกตั้งเร็วๆ ก็จบ ไม่มีอะไรต้องกังวล ไปเร่งนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ.ให้ส่งกฎหมายลูกเรื่องการเลือกตั้งไวๆ ท่านก็จะได้ไม่เหนื่อย” นายพงศ์เทพกล่าว

    ‘หมอวรงค์’จวกกลับ‘วัฒนา’

    ขณะที่ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีตส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความตอบโต้นายกวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทยแสดงความเห็นในคดีจำนำข้าว โดยระบุว่า นายวัฒนา เมืองสุข มาเร็วกว่าที่ผมคิด ผมเข้าใจว่าหลังจากที่แต่ละฝ่ายได้สิทธิ์ ในการแสดงหลักฐานข้อเท็จจริง เพื่อให้ศาลท่านไต่สวน ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็ควรที่จะหยุด และรอคำตัดสินวันที่ 25 ส.ค.นี้ แต่นายวัฒนากลับใช้แผนเดิม นั่นคือนำสิ่งที่พยานฝ่ายนางสาวยิ่งลักษณ์เบิกความ ไปบิดเบือนให้ประชาชนเข้าใจผิด นายวัฒนาอ้างว่า หลังรัฐประหาร มีคำสั่งห้ามเปิดโกดังเพื่อรมยาจนเป็นเหตุให้ข้าวเสื่อมสภาพ ถ้านายวัฒนาจำได้ในช่วงตรวจโกดังโดยท่านปนัดดา ตามข่าวมีหลายโกดังยังตรวจไม่ได้เพราะเพิ่งรมยา และถ้าเป็นจริงตามที่วัฒนากล่าว ข้าวที่เสื่อมต้องเสื่อมทั้งคลังเพราะไม่ได้รมยา แต่ข้าวเสื่อมกลับซุกอยู่ภายในกองข้าวดี โดยมีข้าวดีล้อมรอบ สิ่งที่นายวัฒนาพูดจึงฟังไม่ขึ้น และในข้อเท็จจริงก็มีการรมยาตามปกติ

    แนะให้เคารพคำตัดสินศาล

    นพ.วรงค์ กล่าวว่าที่ นายวัฒนาอ้างว่า มีคำสั่งให้ยกเลิกติดกล้องวงจรปิดบริเวณโกดังเก็บข้าว คำพูดนี้ไม่มีประโยชน์ใดๆ นอกจากให้คนสับสน เพราะการติดตั้งกล้องวงจรปิดที่โกดัง ก็เพื่อเป็นการจับผิด ดูสภาพรถขนข้าวเข้าออกจากโกดัง ว่ามีการขนข้าวเข้าออกจริง ไม่มีเหตุผลใดๆที่ต้องทำ ไม่เข้าใจว่านายวัฒนาอ้างเพื่ออะไร เพราะความจริงไม่มีเรื่องดังกล่าว ส่วนเรื่องการขายข้าว กรมการค้าต่างประเทศเคยแจงไปแล้ว นายวัฒนา คงท่องสูตรประชาธิปไตย เพื่อหลอกลวงประชาชนจนชิน ประชาชนเขารักประชาธิไตยที่แท้จริง แต่ไม่เอาประชาธิปไตยจอมปลอม ภายใต้ระบอบทุนสามานย์ ที่เอาคนจนมาบังหน้า แต่มาแสวงหาผลประโยชน์

    “วันนี้คนไทยหลายสิบล้านคน เขาทันนักการเมืองขี้โกงกันแล้ว ประชาชนเหล่านั้นคงจะไม่ยอมให้พวกระบอบทุนสามานย์แต่อ้างประชาธิปไตย มาหลอกลวงอีก ผมเชื่อว่าคนไทยมากกว่า 60ล้านคน ต้องการให้นางสาวยิ่งลักษณ์เคารพคำตัดสินของศาลฎีกา ไม่ต้องการให้มีการปลุกระดมเพื่อกดดันศาล และไม่ยอมให้ใครมาบิดเบือนคำนิจฉัยของศาลอีกต่อไป”อดีต สส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ระบุ

    ‘องอาจ”หนุนพิจารณาคดีลับหลัง

    นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวถึงกรณีที่มีการขอให้นายกรัฐมนตรีส่งร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ว่า เมื่อพิจารณาเนื้อหาสาระจากร่าง พ.ร.ป.ฉบับนี้แล้ว ไม่เห็นว่ามีอะไรที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด และนายกรัฐมนตรีก็คงไม่ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เพราะเมื่อนายกฯ สดับตรับฟังเหตุผลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และข้อมูลที่เกี่ยวกับร่าง พ.ร.ป.นี้จากภาคส่วนต่างๆ ก็คงเห็นพ้องต้องกันว่าไม่น่าจะมีส่วนไหนที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญเช่นกัน

    “สาระสำคัญของร่าง พรป.นี้ที่มีการพูดถึงกันมากคือ 1.พิจารณาคดีลับหลังจำเลยได้ก็เป็นกรณีที่ศาลรับฟ้องไว้แล้ว และมีหมายเรียก แต่จำเลยไม่มาศาล จนต้องมีการออกหมายจับแต่จับจำเลยไม่ได้ภายใน 3 เดือน นับแต่ออกหมายจับ ให้ศาลมีอำนาจพิจารณาคดีได้ โดยไม่ต้องกระทำต่อหน้าจำเลย 2.การหนีคดีไม่ว่าจะหนีในชั้นพิจารณาคดี หรือหลังศาลมีคำพิพากษา ไม่ให้นับอายุความ

    จากสาระสำคัญดังกล่าว ทำให้ร่าง พรป.นี้มีจุดเด่นที่สำคัญ 3ประการ คือ 1.เพิ่มศักยภาพในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตให้เกิดประสิทธิผลมากขึ้น 2.ทำให้นักการเมืองส่วนหนึ่งที่ใช้อำนาจอิทธิพลทางการเมือง กระทำการทุจริต ต้องคิดคำนึงถึงผลลัพธ์ที่จะได้รับจากกฎหมายมากขึ้น ไม่สามารถใช้ประโยชน์ทางกฎหมายในการหลบหนีคดี จนขาดอายุความได้อีกต่อไป 3.สร้างความยุติธรรมให้กับสังคมด้วยการสามารถยึดทรัพย์สิน เงินทอง ที่จำเลยทุจริตเอาไปกลับคืนมาเป็นของแผ่นดิน รวมถึงการเรียกค่าเสียหาย เมื่อมีการพิจารณาคดีลับหลังจำเลยต่อเนื่องได้จนมีคำพิพากษาถึงที่สุด ซึ่งถือเป็นการสร้างความยุติธรรมให้กับสังคมส่วนรวม” นายองอาจกล่าว

    ‘พท.’ค้าน’ไพรมารี’โทษยุบพรรค

    วันเดียวกัน นายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย (พท.) เปิดเผยว่า ตามที่มีกระแสข่าวว่ากรรมาธิการ (กมธ.) ร่วมเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญได้กำหนดให้กระบวนการไพรมารีโหวตเป็นเรื่องภายในของพรรค แต่จะมีบทกำหนดโทษในกรณีที่ปฏิบัติไม่ถูกต้องทั้งโทษจำคุก ปรับ เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งและถึงขั้นยุบพรรคนั้น เห็นว่า โดยหลักการที่ผ่านมาการคัดเลือกผู้สมัครเป็นเรื่องกิจการภายในของพรรคอยู่แล้ว แม้ตามกฎหมายใหม่จะให้ใช้ไพรมารีโหวตแต่ก็ถือเป็นเรื่องภายในของพรรค


    นายชูศักดิ์กล่าวอีกว่า กกต.มีหน้าที่ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัครหากเห็นว่ามีคุณสมบัติไม่ถูกต้องก็ไม่รับสมัคร และหากผู้สมัครนั้นรู้อยู่แล้วว่าตนเองไม่มีคุณสมบัติที่จะสมัครแล้วไปสมัครกฎหมายก็กำหนดโทษไว้อยู่แล้วรวมถึงหัวหน้าพรรคที่รับรองด้วย ส่วนกรณีหากทำไพรมารีโหวตไม่ถูกต้อง ต่อมามีการตรวจพบก็ควรกำหนดกระบวนการทำให้ผู้นั้นพ้นจากตำแหน่ง ส.ส. รวมถึงการเรียกเงินค่าเลือกตั้งคืน แต่การมากำหนดโทษจำคุก เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งและถึงขั้นยุบพรรคนั้น เห็นว่ามาตรการลงโทษไม่ได้สอดคล้องกับลักษณะของการกระทำเลย เพราะไม่มีกรรมการบริหารพรรคคนใดต้องการให้เกิดความผิดพลาดในขั้นตอนไพรมารีโหวต

    “เรื่องดังกล่าวทำผ่านสาขาพรรคและตัวแทนพรรคประจำจังหวัด อีกทั้งเป็นเรื่องใหม่จึงอาจเกิดความผิดพลาดในบางขั้นตอนได้ การลงโทษกรรมการบริหารพรรคด้วยการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหรือถึงขั้นยุบพรรค จึงเป็นมาตรการที่ไม่สมเหตุสมผล เป็นการคิดในทางลบต่อพรรคการเมืองและนักการเมืองเกินเหตุ จึงไม่เห็นด้วยต่อความคิดดังกล่าว หากจะมีโทษก็ควรเป็นโทษทางปกครองคือโทษปรับก็เพียงพอแล้ว” นายชูศักดิ์ กล่าว

    ‘พลังชล’โวยโทษถึงคุกแรงเกินไป

    เช่นเดียวกับ นายสุระ เตชะทัต โฆษกพรรคพลังชล กล่าวถึงแนวคิดการกำหนดโทษสำหรับผู้ทุจริตไพรมารีโหวตถึงขั้นจำคุก ว่า รุนแรงเกินไปเพราะระบบนี้เป็นระบบใหม่ที่ไม่เคยใช้กันมาก่อน กรรมการบริหารพรรคไม่สามารถเข้าไปดูแลการจัดทำไพรมารีได้ทั่วถึงทุกเขตพื้นที่ ทั้งพรรคเล็กที่ตั้งใหม่จะมีปัญหาบุคลากรไม่เพียงพอ แม้แต่พรรคใหญ่ก็มีสมาชิกจำนวนมาก จะให้เข้าไปดูแลทุกเขตจึงเป็นเรื่องยาก เพราะอาจมีผู้ไม่เข้าใจขั้นตอนปฏิบัติจนทำให้เกิดปัญหา รวมถึงอาจมีผู้ที่ตั้งใจกระทำผิดแฝงอยู่ด้วยก็ได้ ดังนั้นคณะกรรมาธิการร่วมที่จะดูกฎหมายเรื่องนี้ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งเพราะโทษที่พูดถึงกันอยู่นั้นรุนแรงมากสำหรับเรื่องภายในของพรรคการเมือง อีกทั้งควรเลือกเวลาที่เหมาะสมสำหรับการบังคับใช้กฎหมาย ถ้าใช้สำหรับการเลือกตั้งครั้นนี้เลยจะเร็วไปหรือไม่อยากให้คิดถึงความพร้อมของพรรคการเมืองด้วย

     ที่มา: naewna

    0 comments:

    Post a Comment