เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และ รมว.กลาโหมให้สัมภาษณ์ย้ำถึงการดูแลพื้นที่รอบศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในวันที่ 25 สิงหาคม ซึ่งจะมีคำพิพากษาคดีโครงการรับจำนำข้าว โดยมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยว่า จะใช้กำลังตำรวจเป็นหลัก โดยจะหารือกับศาลฎีกาฯว่าต้องการให้ดูแลจุดใดบ้าง ยืนยันไม่ได้มีการรายงานด้านการข่าวอะไรเป็นพิเศษ แต่ตำรวจต้องดูแลความเรียบร้อยอยู่แล้ว
สำหรับการประเมินจำนวนมวลชนที่จะเดินทางมาให้กำลังใจน.ส.ยิ่งลักษณ์ พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า น่าจะมากกว่าครั้งที่แล้วเล็กน้อย ประมาณหลักพันคน ส่วนกรณีที่อาจมีทั้งฝ่ายสนับสนุนและไม่สนับสนุนนั้น เจ้าหน้าที่จับแบ่งกลุ่มไม่ให้เผชิญหน้าอยู่แล้ว ส่วนการดูแลรักษาความปลอดภัยเรื่องมือที่สามที่จะเข้ามาก่อเหตุสร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย มีมาตรการป้องกันอยู่ แต่ตนคิดว่าไม่น่าจะมีมือที่สาม
ด้าน นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทย (มท.) กล่าวถึงการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและการบูรณาการขับเคลื่อนกลไกประชารัฐระดับจังหวัดว่า เพื่อเร่งรัดงานด้านต่างๆให้มีประสิทธิภาพสัมฤทธิ์ผลโดยเร็ว รวมทั้งดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ มท.สั่งการผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้านและผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)ใน 7 มาตรการ โดยสรุปคือ ให้ทุกจังหวัดทบทวนมาตรการดูแลปัญหาในพื้นที่อย่างเป็นระบบรอบด้าน โดยจัดประชุมคณะกรรมการรักษาความสงบเรียบร้อยจังหวัด (กกล.รส.) หรือคณะกรรมการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) หน่วยงานพลเรือน ตำรวจ ทหาร ทุกสัปดาห์ เพื่อประเมินสถานการณ์ติดตามข่าวในพื้นที่และร่วมกำหนดมาตรการป้องกันแก้ปัญหา เช่น ใช้สื่อสังคมปล่อยข่าวสร้างความสับสนหรือความไม่สงบในพื้นที่หรือแอบอ้างพาประชาชนไปสถานที่ต่างๆ โดยมีวัตถุประสงค์อื่น ซึ่งอาจก่อให้เกิดการทำผิดกฎหมายหรือเคลื่อนไหวส่งผลกระทบต่อการรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่
นายกฤษฎา กล่าวต่อว่า ให้ทุกจังหวัดกำหนดมาตรการป้องกันแก้ปัญหาให้ยุติเป็นรูปธรรมในระดับพื้นที่ ไม่ให้ลุกลามขยายผลกลายเป็นประเด็นซับซ้อน โดยส่งเจ้าหน้าที่ไปชี้แจงทำความเข้าใจกับกลุ่มเป้าหมายก่อนเกิดเหตุหรือป้องปรามการเคลื่อนไหว ให้ยกเลิกการเกิดเหตุหรือเคลื่อนไหวที่กระทบความสงบในพื้นที่ ทั้งนี้ การดำเนินการทุกขั้นตอนให้จังหวัดบันทึกเป็นเอกสาร หลักฐานถ่ายภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหวหรือลงบันทึกประจำวัน ให้เป็นหลักฐานดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย
ขณะเดียวกัน ให้ทบทวนแผนรักษาความสงบเรียบร้อยจังหวัดและเครื่องมืออุปกรณ์ให้พร้อมใช้งาน พร้อมกำหนดตัวผู้บัญชาการเหตุการณ์ ให้เพิ่มช่องทางติดต่อสื่อสารกับประชาชนในพื้นที่ให้ทราบข่าวสารข้อเท็จจริงอย่างถูกต้องใกล้ชิดและต่อเนื่อง นอกจากหอกระจายข่าวของหมู่บ้าน สถานีวิทยุชุมชน ให้พิจารณาใช้ช่องทางสื่อสารทางไลน์ เฟซบุ๊ก หรือยูทูบให้มากขึ้น เพื่อสร้างการรับรู้ เรื่องที่ประชาชนอาจสับสนหรือเข้าใจไม่ถูกต้อง และอาจนำมาซึ่งความขัดแย้งรุนแรงได้
“ที่สำคัญคือให้ผู้ว่าฯและนายอำเภอลงพื้นที่ด้วยตัวเอง โดยนำเจ้าหน้าที่ด้านต่างๆไปเยี่ยมเยียน รับฟังปัญหาประชาชนให้มากขึ้น” นายกฤษฎากล่าว
ในส่วนกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.ภานุรัตน์ หลักบุญ รอง ผบช.น.เปิดเผยว่าวันที่ 17 สิงหาคม เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบด้านความมั่นคงทุกหน่วย จะประชุมกำหนดมาตรการดูแลความปลอดภัย วางกำลังเจ้าหน้าที่ จำนวนมวลชน รวมถึงการข่าวเรื่องบุคคลที่ 3 ส่วนการรักษาความปลอดภัยองค์คณะตุลาการที่พิพากษาคดีดังกล่าว พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร.ให้เจ้าหน้าที่สอบถามตุลาการฯว่าท่านใดรู้สึกถูกคุกคามหรือไม่ ถ้ามี สามารถขอกำลังตำรวจเข้าไปดูแลความปลอดภัยโดยเฉพาะได้ แต่ถ้าไม่มีการร้องขอ เจ้าหน้าที่จะดูแลความปลอดภัยตามปกติ ส่วนการดูแลความปลอดภัยวันที่ 25 สิงหาคมที่ศาลตัดสินคดีจำนำข้าวนั้น ผบ.ทบ.กำชับให้ดูแลเข้มงวด แต่ไม่ได้สั่งให้สกัดกั้นมวลชน
อีกด้านหนึ่งมีความคืบหน้าการพิจารณาคดีทุจริตโครงการจำนำข้าว ในส่วนศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยนายสุรศักดิ์ ตรีรัตน์ตระกูล อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน หนึ่งในคณะทำงานอัยการคดีโครงการจำนำข้าว หมายเลขดำ อม.22/2558 ที่อัยการสูงสุด (อสส.) เป็นโจทก์ฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยความผิดฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 กรณีปล่อยปะละเลยไม่ยับยั้งโครงการรับจำนำข้าวทำให้รัฐเสียหายนับแสนล้านบาท และคดีหมายเลขดำ อม.25/2558 ซึ่งมีนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ กับพวกรวม 28 ราย เป็นจำเลย ฐานทุจริตการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐหรือจีทูจีเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม คณะทำงานอัยการยื่นคำแถลงปิดคดีทั้ง 2 คดีเป็นลายลักษณ์อักษรต่อองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาฯเรียบร้อยแล้ว
โดยคำแถลงการณ์ปิดคดีโครงการรับจำนำข้าวของน.ส.ยิ่งลักษณ์มีความยาว 211 หน้า ส่วนคดีนายบุญทรงกับพวก มีความยาว 165 หน้า รวม 2 สำนวน ยาว 376 หน้า เนื่องจากทั้ง 2 คดีมีความสัมพันธ์ เกี่ยวพันกัน จึงได้ยื่นคำแถลงปิดคดีพร้อมกันเลย
สำหรับรายละเอียดคำแถลงการณ์ปิดคดีในส่วนของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นั้น เป็นการสรุปประเด็นข้อพิพาทมีประเด็นใดบ้าง การสืบพยานที่ผ่านมาตรงไหนรับฟังได้มากน้อย แค่ไหนอย่างไร หักล้างกันได้อย่างไร ซึ่งการแถลงปิดคดีเพื่อให้ศาลมองประเด็นที่คู่ความทั้ง 2 ฝ่ายนำเสนอมา เพื่อประกอบการพิจารณาซึ่งวันที่ 25 สิงหาคม คณะทำงานอัยการพร้อมเดินทางไปฟังคำพิพากษาทั้งสองคดีด้วย
วันเดียวกัน นายสมชาย งามวงศ์ชน ประธานแผนกคดีสิ่งแวดล้อมในศาลปกครองสูงสุด ในฐานะโฆษกศาลปกครอง เปิดเผยความคืบหน้าการพิจารณาคำร้องที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยื่นขอให้ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งทุเลาการบังคับคำสั่งทางปกครองครั้งที่ 2 หลังกระทรวงการคลัง ให้กรมบังคับคดี เริ่มดำเนินมาตรการยึดอายัดทรัพย์สินบัญชีเงินฝากว่า กระทรวงการคลัง ผู้ถูกฟ้อง ส่งคำชี้แจงข้อเท็จจริงต่อองค์คณะเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ก่อนครบกำหนด 15 วันดังกล่าวแล้ว จากนั้นตามขั้นตอนองค์คณะจะรวบรวมเอกสารข้อเท็จจริง ส่งให้ตุลาการผู้แถลงคดีร่วมตรวจดูและทำความเห็นส่วนตน น่าจะใช้เวลา 2 สัปดาห์ เมื่อตุลาการผู้แถลงคดีทำความเห็นส่วนตนเสนอองค์คณะแล้ว ถ้าองค์คณะมีคำสั่งยกคำร้องการขอทุเลาของผู้ฟ้อง คำสั่งของศาลปกครองกลางนี้ถือเป็นที่สุดอุทธรณ์ไม่ได้ แต่สามารถยื่นคำร้องได้ใหม่หากเกิดเหตุใหม่
ส่วนคดีอาญาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่จะตัดสินวันที่ 25 สิงหาคม จะมีผลต่อการพิจารณาคดีปกครองในศาลปกครองหรือไม่นั้น ถ้ามีข้อเกี่ยวข้องกับประเด็นพิจารณาในคดีปกครองก็สามารถนำมาพิจารณาด้วย
ที่มา: naewna
0 comments:
Post a Comment