Tuesday, July 5, 2016

Tagged Under:

ธปท.จับตาความเสี่ยงครึ่งหลัง ให้นํ้าหนักปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก/ชี้เศรษฐกิจไทยทั้งปีโตได้3.1%

By: news media On: 5:29 PM
  • Share The Gag
  • แบงก์ชาติชี้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวค่อยเป็นค่อยไป เชื่อทั้งปีขยายตัวตามประมาณการ 3.1% หลังตัวเลขภาวะเดือนพฤษภาคม การใช้จ่ายภาครัฐได้ตามเป้า-สัญญาณการบริโภคเอกชนฟื้นตัว เหตุรายได้ภาคเกษตรขยับเป็นบวก 6.7% เผยปัญหาภัยแล้งกดดันลดลง จับตาความเสี่ยง”เบร็กซิท”


    นายจาตุรงค์ จันทรังษ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สานนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และในฐานะเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้รวมภาพฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยทั้งปีกนง.ยังคงอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) อยู่ที่ระดับ 3.1% ซึ่งปัจจัยบวกที่เข้ามาสนับสนุนการขยายตัวจะเป็นเรื่องของการลงทุนจากภาครัฐผ่านการก่อหนี้ผูกพันและการเบิกจ่ายงบลงทุนได้ดีต่อเนื่อง

    ทั้งนี้ จะเห็นว่าตัวเลขการก่อหนี้ผูกพันสะสมปีงบประมาณขยับจากสัดส่วน 20.6% ในปี 2555 ขยับมาเป็น 78.8% ในปีงบประมาณ 2559 ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ทยอยออกมาเพิ่มเติม เช่น สินเชื่อโครงการบ้านประชารัฐ และการปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีส่วนช่วยพยุงการใช้จ่ายภายในประเทศ และปัจจัยภาคท่องเที่ยวขยายตัวได้ต่อเนื่อง จึงมีการปรับประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวจากเดิมอยู่ที่ 32.4 ล้
    านคน เพิ่มเป็น 34.0 ล้านคน และในปี 2560 ปรับจาก 34.4 ล้านคน เป็น 36.7 ล้านคน

    อย่างไรก็ดี อัตราการเติบโตจีดีพีที่ระดับ 3.1% ถือว่าต่ำกว่าศักยภาพของไทย ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการลงทุนภาคเอกชนยังขยายตัวได้ในระดับต่ำ จึงเป็นไปได้ค่อนข้างยากที่จะสามารถเติบโตได้ตามศักยภาพ โดยอัตราการเติบโตตามศักยภาพจีดีพีควรอยู่ที่ระดับ 3.5% แต่ถือว่าการลงทุนภาคเอกชนมีสัญญาณบวกเล็กน้อยจากประมาณการเดิมเดือนมีนาคมอยู่ที่ 2.4% เพิ่มเป็น 3.1% เป็นผลมาจากโครงการภาครัฐที่ทยอยออกมาค่อนข้างเยอะ ทำให้การลงทุนภาคเอกชนในหมวดการก่อสร้างดีขึ้น แต่ยังต่ำเมื่อเทียบกับในอดีต ซึ่งในปี 2560 ได้ปรับประมาณลดลงจากเดิมอยู่ที่ 4.0% เหลือ 2.3% เนื่องจากต้องรอดูโครงการภาครัฐที่จะออกมา เพราะจะมีผลต่อการลงทุนภาคเอกชนว่าจะเป็นบวกหรือลบมากน้อยระดับใด


    ส่วนปัจจัยความเสี่ยง กนง.ยังคงต้องประเมินเป็นระยะๆ เพราะโครงสร้างเศรษฐกิจไทยและต่างประเทศมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งปัจจัยต่างประเทศมีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะกรณี สหราชอาณาจักรทำประชามติออกจากสมาชิกอียู (Brexit) ทำให้การประเมินความเสี่ยงเป็นไปได้ในหลายสมมติฐาน เนื่องจากการเจรจายังไม่นิ่ง และการทำข้อตกลงการออกจากอียูก็ยังไม่เริ่มเลย ซึ่งหากเลื่อนขั้นตอนการเจรจาออกไป ทำให้มีความไม่แน่นอนสูงขึ้น ซึ่งจะมีผลต่อภาคธุรกิจและการลงทุน หรือ Financial Sector มากกว่าภาคการค้า ดังนั้น ความเสี่ยงในช่วงครึ่งปีหลังจะให้น้ำหนักในเรื่องของปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก

    “ความเสี่ยงเบ้ไปในด้านต่ำในเรื่องของเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวช้า โดยเฉพาะเรื่องเบร็กซิทt เป็นปัจจัยเสี่ยงในระยะข้างหน้า เพราะนอกจากจะกระทบความผันผวนในเรื่องของราคาสินทรัพย์ จะมีผลที่เราจะต้องติดตามในเรื่องของการลงทุนและการค้าให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น โดยดูผลสมมติฐานต่างๆ ทั้งผลการตกลงระหว่างอังกฤษและอียู ซึ่งคณะกรรมการจะมีการหารือกัน และในระยะข้างหน้าเงินเฟ้อมีแนวโน้มไปด้านต่ำ ทำให้นโยบายการเงินยังเอื้อต่อการเติบโตของเศรษฐกิจและมองว่าดอกเบี้ยควรเก็บไว้ใช้ในอนาคต เพื่อไม่ให้ติดกรอบซีโร่บาร์ และการฟื้นตัวเศรษฐกิจจะต้องดูเรื่องของการลงทุนภาคเอกชน เพราะถ้าโตจากการบริโภคและการลงทุนภาครัฐจะไม่ยั่งยืนเมื่อเทียบกับการลงทุนภาคเอกชนที่จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานระยะยาว”

    ส่วนอัตราการเติบโตจีดีพีในปี 2560 ที่ปรับจาก 3.3% ลงมาที่ 3.2% มาจากการส่งออกเป็นสำคัญ เพราะเศรษฐกิจคู่ค้าฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ และไทยยังมีปัญหาเชิงโครงสร้าง รวมถึงการส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านมีแนวโน้มปรับตัวลดลง เป็นผลให้ปริมาณการค้าโลกลดลง จึงมีการปรับอัตราการเติบโตส่งออกจากติดลบ 2% เป็นติดลบ 2.5% ในปีนี้ และในปี 2560 ปรับจากเติบโต 0.1% เป็น 0%


    ที่มา: thansettakij

    0 comments:

    Post a Comment