คำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อปลายสัปดาห์ในรายการคืนความสุขให้คนในชาติ เมื่อวันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา แย้มออกมาให้เห็นว่าจะดำเนินคดีกับบบรรดาผู้ที่ขัดขวางการจับกุม ธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายผู้ต้องหาในคดีร่วมกันรับของโจรและร่วมกันฟอกเงิน ทำให้เป็นที่จับตามองมากขึ้นว่า รัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)เริ่มหันมาเข้มงวดการบังคับใช้กฎหมายแบบไม่เกรงใจอีกต่อไปแล้ว ซึ่งคาดกันว่าเขาจะใช้ มาตรา 44 เข้ามาจัดการ
แน่นอนว่าท่าทีแบบนี้ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐบาลยอมมองเห็นแล้วว่าหาก"ซื้อเวลา"ปล่อยไปเรื่อยๆ นอกจากมีผลต่อความศรัทธาที่สังคมอย่างรุนแรง เนื่องจากไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้อย่างเสมอภาค ทำลายความเชื่อมั่นที่เขาเคยประกาศว่าทุกคดีต่องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่มีการปรองดองหรือ"เกี้ยเซี๊ยะ"เป็นอันขาด ซึ่งกรณีของ ธัมมชโย ก็ไม่ต่างกัน เมื่อถูกแจ้งข้อหา มีการออกหมายจับก็ต้องดำเนินการเหมือนกับผู้ต้องหารายอื่นทั่วไป จะอ้าง"ความเชื่อ"มาอยู่เหนือกฎหมายไม่ได้
อย่างไรก็ดีแม้ว่าเมื่อพิจารณาตามความเป็นจริง การจัยกุม ธัมมชโย ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกับผู้ต้องหารายอื่น เพราะมีสถานะเป็นเจ้าสำนัก เจ้าลัทธิ ที่มีสาวกเครือข่ายเป็นคนสำคัญระดับคนชั้นสูงมีฐานะทางการเงิน มีตำแหน่งทางราชการมากมายทั่วประเทศ ซึ่งสะท้อนความจริงให้เห็นมาแล้วจากการเข้าจับกุมและตรวจค้นเมื่อคราวก่อนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เนื่องจากต้องเจอกับการขัดขวางของบรรดาพระสงฆ์ในวัดและบรรดาลูกศิษย์จำนวนมากที่สร้างกำแพงมนุษย์ มีการสร้างสิ่งกีดขวางจนทำให้เจ้าหน้าที่ต้องล่าถอยออกมา เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดความสูญเสียเกิดเหตุการณ์บานปลาย
ขณะเดียวกันที่ผ่านมาทางกรมสอบสวนคดีพิเศษได้เริ่มใช้วิธี"ตัดแขนขา"ของ ธัมมชโย และเครือข่ายนั่นคือ ใช้วิธีตรวจสอบเส้นทางการเงินโดยขอความร่วมมือจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.)ให้ตรวจสอบเส้นทางการเงินของธัมมชโยและวัดพระธรรมกาย ซึ่งคาดว่าอีกไม่นานน่าจะได้ข้อสรุป ส่วนจะนำไปสู่การ"อายัดทรัพย์สิน"ในอนาคตหรือไม่เป็นเรื่องที่ชวนติดตามอย่างยิ่ง
ขณะเดียวกันทางกรมสอบสวนคดีพิเศษได้เริ่ม"ตัดแขนขา"ด้วยการแจ้งความดำเนินคดีกับบรรดาพระสงฆ์และลูกศิษย์ที่ขัดขวางเจ้าหน้าที่ ที่เห็นชัดก็คือการเปิดเผยของ พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย ผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 1 ว่าตำรวจได้จับกุมเจ้าของรถแบ็กโฮ ที่เคยนำมาจอดขวางทางเข้าออกหน้าวัดพระธรรมกาย เป็นการขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ
อีกทั้งมีการแจ้งความเอาผิด กับพระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ระหว่างนี้กำลังรวบรวมหลักฐาน นอกเหนือจากนี้ยังมีการกดดันให้องค์กรปกครองทางสงฆ์เข้ามาร่วมจัดการกับธัมมชโย ล่าสุดสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการาม เจ้าคณะใหญ่หนกลาง ก็เข้ามาดำเนินการเพียงแต่ว่ายังไม่ทราบความคืบหน้า แต่ก็แสดงให้เห็นว่าอย่างน้อยก็เริ่มมีการเคลื่อนไหวทางสงฆ์ให้สังคมได้เห็นบ้างแล้ว
อย่างไรก็ดีเมื่อพิจารณาจากสังคมภายนอกก็ย่อมรับรู้ถึงสัญญาณความไม่พอใจที่ทางฝ่าย ธัมมชโย ไม่ยอมให้จับกุม ทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย ยิ่งลูกศิษย์อ้างว่าจะเข้ามอบตัวก็ต่อเมื่อบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์เท่านั้น ยิ่งสร้างความไม่พอใจในวงกว้าง ขณะเดียวกันก็กลายเป็นแรงกดดันทำลายศรัทธาให้กับรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ไม่อาจสร้างความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายได้
จะด้วยเหตุนี้หรือเปล่าที่ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ต้องออกมาแสดงท่าทีว่าจะใช้มาตรา 44 เข้ามาจัดการ ซึ่งก็ได้ผลทำให้ฝ่ายธัมมชโยเริ่มตื่นตัว มีการหวาดผวามากขึ้น โดยเฉพาะการที่อาจมีการดำเนินคดีกับคนที่ขัดขวางการจับกุมธัมมชโย อย่างไรก็ดีก็ยังมีการระดมบรรดาสาวกเข้ามาเป็นจำนวนนับหมื่นคนอ้างว่าเป็นการทำบุญบูชาพระพุทธองค์ มีการปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ
ดังนั้นหากมีการใช้มาตรา 44 เข้ามาจัดการถือว่าต้องมีการดำเนินคดีอย่างครบวงจร ทั้งการตัดแขนขาทั้งเรื่องการห้ามมั่วสุมเกินกว่า 5 คนขึ้นไป การจับกุมผู้ที่ขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ รวมไปถึงการตรวจสอบเส้นทางการเงิน การอายัดทรัพย์สิน ที่จะต้องตามมา ขณะเดียวกันกรณีของวัดพระธรรมกายก็ยังมีผลเชื่อมโยงในทางการเมือง เนื่องจากมีความเกี่ยวพันกับเครือข่าย ทักษิณ ชินวัตร เหมือนกับว่าหากยิ่งปล่อยไว้นานก็ยิ่งมีผลกระทบต่อความมั่นคง อย่างน้อยการขยับจัดการขั้นเด็ดขาด แม้ว่าจะทำจริงหรือไม่ก็ตามแต่ก็ทำให้อีกฝ่ายมีความโกลาหลได้ไม่น้อยเหมือนกัน
และอย่างน้อยนี่คือการลิดกิ่งใบ ตัดกำลังเครือข่ายก่อนที่จะถอนราก บุกจับ ธัมมชโย ในภายหลังหรือเปล่า !!
ที่มา: manager
0 comments:
Post a Comment