จากกรณีหมีควายทำร้ายนายฝน พรหมลัทธิ อายุ 38 ปี ภายในสำนักสงฆ์สวนสมุนไพร หลวงปู่ละมัย ม.8 ต.บ้านโตก อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 3 ส.ค. ที่โรงพยาบาล เพชรบูรณ์ นพ.กอบชัย จิระชาญชัย รอง ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์โรงพยาบาล เพชรบูรณ์ เปิดเผยอาการของนายฝนว่า แรกที่รับมาผู้บาดเจ็บไม่รู้สึกตัว สัญญาณชีพอ่อนมาก มีบาดแผลขนาดใหญ่ บริเวณสีข้างด้านซ้ายด้านหลังเป็นแผลลึกเหวอะหวะ และที่บริเวณลำตัวมีทั้งรอยเล็บ รอยฟันจมเขี้ยว ทุกบาดแผลเป็นแผลลึก ผู้ป่วยเสียเลือดมาก
นพ.กอบชัยกล่าวต่อว่า นอกจากนั้นยังพบว่ามีเลือดออกและมีลมรั่วในช่องปอดทั้งสองข้าง คาดว่าน่าจะเกิดจากกรงเล็บของหมีที่จิกทะลุลงไปในผนังทรวงอกจนถึงปอด แพทย์ได้ช่วยเหลือโดยการใส่ท่อระบายทรวงอก เอาลมและเลือดที่คั่งอยู่ในช่องปอดออกมา เพราะไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการหัวใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้
นพ.กอบชัยกล่าวอีกว่า หลังจากนั้นก็ได้ใช้เครื่องช่วยหายใจ ตอนนี้นอนรักษาตัวอยู่ห้องไอซียูศัลยกรรม อาการโดยทั่วไปยังไม่พ้นขีดอันตราย ยังอยู่ในเกณฑ์วิกฤต ถึงแม้ว่าผู้ป่วยจะสามารถพูดคุยกับญาติแล้วก็ตาม เพราะความดันยังไม่ปกติ และจากการที่เสียเลือดมากก่อนที่จะมาถึงโรงพยาบาลก็ทำให้มีภาวะไตวายเฉียบพลัน และในวันนี้คนไข้เริ่มมีปัสสาวะออกน้อย ซึ่งต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิด
นายไกรสร กองฉลาด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ พร้อมด้วยนายชาญชัย ศรศรีวิชัย นายอำเภอเมืองเพชรบูรณ์ เข้าเยี่ยมและให้กำลังใจนายฝนที่นอนรักษาตัวอยู่ โดยอาการนายฝนสามารถรับรู้และตอบสนอง แต่ยังคงต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ อย่างไรก็ตาม ทางแพทย์ยังต้องเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด ส่วนการช่วยเหลือในเบื้องต้นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยมอบสิ่งของและเงิน 11,000 บาท โดยมีญาติของนายฝนรับมอบในครั้งนี้
นายไกรสรกล่าวว่า สำหรับหมีตัวดังกล่าวได้ติดต่อไปยังเขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาค้อให้มารับตัวไปดูแลที่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาค้อ โดยเจ้าหน้าที่ใช้ปืนลูกดอกยาสลบยิง จากนั้นได้เคลื่อนย้ายไปไว้ที่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาค้อ อ.เขาค้อ เพื่อดูแลต่อไปตั้งแต่ช่วงเย็นของเมื่อวันที่ 2 ส.ค.
นายสุธีร์ ลอยมา หัวหน้าสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาค้อ กล่าวว่า หลังจากเจ้าหน้าที่รักษาพันธุ์สัตว์ป่าได้รับการประสานในการจับและนำหมีควายมาเลี้ยงไว้จึงได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ใช้ปืนยิงลูกดอกยาสลบแล้วเคลื่อนย้ายไปยังศูนย์เพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาค้อ เพื่อดูแลไม่ให้มีเหตุการณ์ทำร้ายคนได้อีก ด้วยขนาดที่มีความใหญ่โตอย่างมาก เจ้าหน้าที่ต้องใช้กำลังคนมากกว่า 10 คนในการแบกหามเข้าไปในกรง
นายสุธีร์กล่าวด้วยว่า เจ้าหน้าที่ชุดยิงยาสลบได้ยิงยาสลบถึง 3 เข็มกว่าหมีควายจะสิ้นฤทธิ์ จากนั้นได้เคลื่อนย้ายไปยังสถานีเพาะเลี้ยงฯ โดยสัตวแพทย์ได้ตรวจสุขภาพหมีควายตัวดังกล่าว พบมีอายุ 6-7 ปี เป็นหมีที่โตเต็มวัยแล้ว มีสุขภาพแข็งแรงดี แต่มีน้ำหนักเกินมานิดหน่อย และยังอยู่ในภาวะที่เครียดอยู่ ซึ่งทางสถานีเพาะเลี้ยงจะดูแลหมีควายจนกว่าจะไม่มีอาการเครียดและหายเป็นปกติ
“ในขั้นแรกหลังจากรับมาเลี้ยงแล้ว ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมในเบื้องต้น โดยมี เจ้าหน้าที่ดูแลอย่างใกล้ชิด แต่เนื่องจากหมีควายตัวนี้อ้วนและมีไขมันมากจึงต้องควบคุมการกิน ซึ่งดูจากลักษณะนิสัยแล้วไม่ได้มีนิสัยดุร้ายมากนัก จึงไม่เป็นปัญหาในการดูแล” นายสุธีร์กล่าว
นายสุธีร์กล่าวด้วยว่า จากนั้นอาจต้องเสนอไปยังผู้บริหารระดับสูงในการย้ายหมีควายตัวดังกล่าวไปยังสถานีเพาะเลี้ยงแห่งอื่น เนื่องจากที่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาค้อมีกรงที่ค่อนข้างจำกัดกับสัตว์ป่าที่มีอยู่ในขณะนี้
นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าวถึงกรณีนำฝากสัตว์ป่าของกลางไปยังวัดหรือสำนักสงฆ์ว่า ไม่ขอพูดว่าการดำเนินงานในอดีตเป็นอย่างไร แต่ในยุคของตนเมื่อเจ้าหน้าที่สามารถจับสัตว์ป่าของกลางได้ต้องนำส่งไปยังสถานที่ของรัฐหรือกรมอุทยานแห่งชาติฯ เท่านั้น เนื่องจากสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเป็นสถานที่ที่มีหน้าที่ศึกษาวิจัย การวิจัยอาหารและโภชนาการ สุขภาพของสัตว์ป่า ตลอดจนการดำเนินการกับสัตว์ป่าของกลางและสัตว์ป่าที่ประชาชนมอบให้สนับสนุนข้อมูลและบริการข้อมูล ซึ่งเป็นสถานที่ที่สามารถดูแลสัตว์ป่าได้อย่างมีประสิทธิภาพอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องไปฝากสัตว์ป่าของกลางไว้ที่อื่น
น.สพ.ภัทรพล มณีอ่อน นายสัตวแพทย์ประจำกรมอุทยานแห่งชาติฯ กล่าวว่า หมีตัวดังกล่าวโดยพฤติกรรมคิดว่าตัวเองเป็นสัตว์เลี้ยง แต่โดยสัญชาตญาณเป็นสัตว์ป่า ประกอบกับความเครียดที่เกิดขึ้นจากปัจจัยกระตุ้นรอบตัว เช่น เสียงตะโกนของคนที่อยู่ปากบ่อ หรือการที่ต้องอยู่รวมกับหมูป่า กรณีที่เกิดขึ้นมั่นใจว่าหมีไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าหรือทำร้ายคนที่ตกลงไปในบ่อ แต่จากปัจจัยหลายๆ อย่างรวมกัน คือ ความเครียด ความสงสัย จึงต้องพิสูจน์ว่าสิ่งที่ตกลงไปในบ่อคืออะไร หากต้องการฆ่าจจะกัดเนื้อแบบกระชาก และใช้มือตะบบอย่างรุนแรง กรณีนี้แค่การขบ และสะกิดดูเพื่อให้หายสงสัยเท่านั้น
“โดยธรรมชาติหมีเป็นสัตว์ที่สายตาไม่ดี ระบบสัมผัสที่ดีที่สุดของหมีคือ จมูก ซึ่งดีกว่าจมูกหมาถึง 5 เท่า โดยหมีจะใช้จมูกดม ปากงับ ขบ และใช้มือตะบบ เป็นพฤติกรรมตามสัญชาตญาณ แต่เนื่องจากหมีเป็นสัตว์ใหญ่ แรงเยอะ การขบ หรือการสะกิดเบาๆ สามารถสร้างรอยแผลใหญ่ๆ ได้แน่นอน” น.สพ. ภัทรพลกล่าว
เมื่อถามว่า กลอุบายที่ว่าหากเจอหมีจะเข้ามาทำร้ายให้แกล้งตาย ใช้ได้ผลจริงหรือไม่ น.สพ.ภัทรพลกล่าวว่า ในประเทศหนาวความหนาวอาจจะทำให้จมูกหมีมีอาการชา หากเจอหมีแล้วนอนนิ่งไม่กระดุกกระดิกอาจจะได้ผล แต่ประเทศไทยเป็นประเทศในเขตร้อนวิธีการนี้ใช้ไม่ได้ผลแน่นอน เจอหมีในระยะกระชั้นชิดมันจะได้กลิ่นเหงื่อกลิ่นตัวทันที จะถูกขบกัดกระชากมีสิทธิตายได้ทุกราย วิธีการที่ดีที่สุดคือ ตั้งสติ พยายามวิ่งหนีให้เร็วที่สุด หาอะไรมากั้นให้พ้นจากกรงเล็บ หรือพยายามตอบโต้ การเอาไม้ตีหัวหรือลำตัวไม่ได้ผลแน่เพราะขนและหนังหมีหนามาก จะต้องตีไปที่บริเวณจมูก เพราะเป็นจุดที่มีขนน้อยที่สุด และเป็นศูนย์รวมของปลายประสาท
ที่มา: khaosod
0 comments:
Post a Comment