
สรท. ประเมินส่งออกทั้งปีติดลบมากกว่า 4.2% จ่อปรับเป้าเดือนหน้า ชี้ทั่วโลกเริ่มลดค่าเงินเพื่อแข่งขันการส่งออก แนะทีมเศรษฐกิจกำหนดเป้าหมายเชิงตัวเลข และกรอบเวลาชัดเจน สร้างความมั่นใจภาคเอกชนกลับมาลงทุน ประชาชนจับจ่ายเพิ่ม
นายนพพร เทพสิทธา ประธานสภาผู้ส่งออกสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย(สรท.)หรือสภาผู้ส่งออกกล่าวว่า การส่งออกประจำเดือนกรกฎาคมมีมูลค่า 18,223 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 3.56% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยมีมูลค่าการส่งออก 609,132 ล้านบาท ขยายตัว 0.09% ส่งผลให้การส่งออก 7 เดือนแรกของปีนี้ มีมูลค่า ทั้งสิ้น 125,078 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 4.66% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
การส่งออกไปยังตลาดหลักส่วนใหญ่ยังติดลบต่อเนื่อง อาทิ ญี่ปุ่น ติดลบ 3.1% ยุโรป ติดลบ 1.1% จีน ติดลบ 1.6% อินเดียติดลบ 8% เป็นต้น ส่วนตลาดส่งออกที่เติบโตประกอบด้วย CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) เติบโต 11.6% สหรัฐเติบโต 1.4% ทวีปออสเตรเลียเติบโต 21.4% เป็นต้น
สินค้าส่งออกที่ขยายตัวส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุตสาหกรรม และอุตสาหกรรมการเกษตร อาทิ ยางพารา, ฮาร์ด ดิสก์ ไดรฟ์ เครื่องปรับอากาศ เหล็ก เป็นต้น ส่วนสินค้าส่งออกที่หดตัวลง อาทิ ข้าวรถจักรยานยนต์ เคมีภัณฑ์ สิ่งทอ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง
เป็นต้น ทำให้มีแนวโน้มสูงว่าการส่งออกทั้งปีจะต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ว่าจะลดลง 4.2% โดยจะขอดูตัวเลขการส่งออกเดือนสิงหาคมอีกครั้งก่อนที่จะตัดสินใจปรับลดเป้าหมายการส่งออก
“หากจะให้การส่งออกจะอยู่ในกรอบ -4.2% จะต้องส่งออกไม่ต่ำกว่า 1.85 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือนแต่ในเดือนกรกฎาคมกลับมียอดส่งออกเพียง 1.82 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่ำกว่าเป้าหมายถึง 277 ล้านดอลลาร์สหรัฐทำให้สร้างแรงกดดันต่อ 5 เดือนที่เหลือ” นายนพพรกล่าว
ทั้งนี้มองว่าภาวะเศรษฐกิจโลกจะอยู่ในขาลงและต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า เพราะว่าสงครามเศรษฐกิจยังคงรุนแรงประเทศต่างๆ ทั้งที่พัฒนาแล้ว และเกิดใหม่ล้วนต้องทำทุกวิถีทางเพื่อความอยู่รอด โดยเฉพาะการใช้กลยุทธ์ลดค่าเงินเพื่อกระตุ้นการส่งออก หากทุกประเทศหันมาใช้มาตรการทางการเงินเป็นหลัก ก็จะทำให้ภาคการเงินและอสังหาริมทรัพย์เติบโตเป็นฟองสบู่ไปทั่วโลก และก็จะถึงจุดแตก
โดยได้เริ่มเห็นถึงผลกระทบจากฟองสบู่ที่จีนแล้วและจะลุกลามไปทั่วโลกในปีหน้า เห็นได้จากจีนได้หันมาลดค่าเงินหยวนลงเพื่อกระตุ้นการส่งออก เพราะเห็นว่านโยบายการพึ่งพาเพียงเศรษฐกิจภายในประเทศไม่ได้ผลจึงต้องหันมาแข่งขันในตลาดต่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระทบไปทั่วโลก โดยเฉพาะในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(เออีซี)ที่สินค้าจีนจะเข้ามาแข่งขันมากขึ้น และจะกระทบไปทุกกลุ่มธุรกิจ เพราะสินค้าจีนมีทั้งระดับต่ำไปจนถึงสูง ทำให้สินค้าไทย แข่งขันในตลาดเออีซี และจีนได้ยากขึ้นถึงแม้ว่าค่าเงินบาทจะอ่อนตัวลง แต่ค่าเงินสกุลอื่นๆ ก็อ่อนค่าลงด้วย และจะยังมีการใช้มาตรการลดค่าเงินมากขึ้น ทำให้การอ่อนค่าของเงินบาทไม่ได้ช่วยในด้านการส่งออกมากนัก
“แม้ว่าหลายฝ่ายอยากให้ไทยลดสัดส่วนการส่งออกและหันไปพึ่งพาเศรษฐกิจภายในประเทศ แต่ที่ผ่านมาหลายประเทศก็ทำไม่ได้ โดยเฉพาะจีนที่หันมาแข่งขันในตลาดส่งออกเพิ่มขึ้น ส่วนประเทศเยอรมนีก็มีสัดส่วนการส่งออกสูงถึง 60% ญี่ปุ่นก็ต้องพึ่งพาการส่งออกเป็นหลักดังนั้นไทยหลีกหนีการแข่งขันส่งออกไม่ได้ หากเราไม่เร่งปรับปรุงคุณภาพสินค้าเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ไทยก็จะต่อสู้ในเวทีการค้าโลกได้ยากขึ้น” นายนพพร กล่าว
ในส่วนของนโยบายของทีมเศรษฐกิจชุดใหม่นั้นมองว่าการออกมาประกาศนโยบายเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นความมั่นใจของประชาชนและผู้ประกอบการ รัฐบาลควรออกมาประการตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆ อย่างชัดเจนว่า จีดีพี อัตราเงินเฟ้อจะขยายตัวเท่าไร การส่งออกจะขยายตัวได้อย่างไรรวมทั้งกำหนดกรอบเวลาในการแก้ไขปัญหาอย่างชัดเจนว่าจะใช้เวลากี่เดือน และจะมีแนวทางปฏิบัติอย่างไร จึงจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ทำให้กลับมาใช้จ่ายและลงทุนเพิ่มขึ้น โดยภาคเอกชนจะรอดูผลงานของรัฐบาลในรอบ 3 เดือนก่อนว่าจะเป็นไปในทิศทางใดจึงจะให้ความคิดเห็นที่ชัดเจนได้
นายไพบูลย์ พลสุวรรณา ที่ปรึกษา และกรรมการสรท. กล่าวว่า ในส่วนของข้อเสนอต่อทีมเศรษฐกิจชุดใหม่นั้นมีเรื่องหลักๆ ได้แก่ การดําเนินยุทธศาสตร์ศูนย์กลางทางการค้าของภูมิภาคอาเซียนหรือTrading Nation อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืน ซึ่งยังไม่เห็นนโยบายนี้จากทีมเศรษฐกิจมากนัก โดยขณะนี้เศรษฐกิจไทยไม่อ่อนแอ เพียงแต่ซบเซาและขาดความเชื่อมั่น
หากรัฐบาลผลักดัน Trading Nation เข้ามาเสริมก็จะทำให้ประเทศไทยหลุดกับดักรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง เพราะหลังจากการเปิด เออีซี ทุกอย่างจะเดินหน้าไปสู่การค้าเสรี หากไทยไม่เร่งส่งเสริมด้านการค้า ก็จะทำให้ไทยไม่ได้รับประโยชน์จากการเปิดเออีซีอย่างเต็มที่ รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่ลงทุนไปก็จะถูกต่างชาติเก็บเกี่ยวผลประโยชน์มากกว่าที่เราควรจะได้รับ
อย่างไรก็ตาม การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา ก็เป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจไทยในระยะยาว ซึ่งในทีมเศรษฐกิจชุดที่ผ่านมาได้ตั้งเป้าว่าจะเพิ่มเงินวิจัยและพัฒนาให้ได้ 1% ของจีดีพี แต่ทีมเศรษฐกิจชุดนี้ยังไม่ได้มีนโยบายที่ชัดเจนโดยการวิจัยฯนั้นเป็นเรื่องที่ต้องใช้เงินทุนสูงมาก ดังนั้นภาครัฐจะต้องเป็นผู้ขับเคลื่อนหลักและให้เอกชนเข้ามาซื้อเทคโนโลยีหรือร่วมลงทุนในการวิจัย และพัฒนา ซึ่งอาจจะเห็นรัฐบาลให้ความสำคัญในเรื่องนี้มากขึ้น
ที่มา ,.naewna.com
0 comments:
Post a Comment