Monday, June 6, 2016

Tagged Under:

จับตา4ปัจจัยเขย่าตลาดหุ้น แนะจัดพอร์ตมิถุนายนหว่านสินทรัพย์ทั่วโลก

By: news media On: 5:07 PM
  • Share The Gag
  • นักวิเคระห์ ผู้จัดการกองทุน มองเดือนมิ.ย.หุ้นไทยเสี่ยงปรับฐาน เหตุปัจจัยนอกไม่เอื้อ จับตา 4 เรื่อง ประชุมเฟด ราคานํ้ามันดิบโลกอาจปรับฐาน เอ็มเอสซีไอปรับนํ้าหนักหุ้นจีน การลงประชามติการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปของอังกฤษ บล.ทิสโก้ฯแนะโยกเงินไปลงทุนตลาดหุ้นญี่ปุ่น-จีน บลจ.กรุงไทยฯ มองตราสารหนี้-หุ้นปันผลหลุมหลบภัยชั้นยอด บลจ.ยูโอบีฯ ออกกองทุนใหม่ เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนทั้งตลาดขาขึ้น-ขาลง หว่านลงทุนสินทรัพย์ทั่วโลกทั้งหุ้น ตราสารหนี้ ตราสารอนุพันธ์

    นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ เปิดเผยว่า เดือนมิถุนายนตลาดหุ้นไทยมีความเสี่ยงปรับฐาน เนื่องจากได้ปรับตัวขึ้นมามากนับตั้งแต่ต้นปี ส่วนปัจจัยที่คาดว่าตลาดจะปรับตัวลงหลักมาจากปัจจัยต่างๆ จากภายนอกประเทศ โดยเฉพาะปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นกำลังจะหมดลง และการปรับน้ำหนักการลงทุนของดัชนี MSCI Emerging Market เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ที่ผ่านมา

    สำหรับปัจจัยด้านราคาน้ำมัน มาจากราคาน้ำมันดิบที่เริ่มมีส่วนเพิ่มหรืออัพไซด์(Upside)จำกัดและมีความเสี่ยงที่จะปรับฐาน โดยการฟื้นตัวของราคาน้ำมันดิบและสินค้าโภคภัณฑ์นับเป็นปัจจัยหลักที่สนับสนุนการฟื้นตัวของตลาดหุ้นในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา

    ศูนย์วิจัยทิสโก้มองว่าความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันต่อจากนี้จะเริ่มมีความเสี่ยงที่จะปรับฐานเนื่องจากการผลิตน้ำมันที่โดนกระทบจากไฟป่าในแคนาดาจะเริ่มกลับมาผลิตได้ตามปกติภายในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนมิถุนายน และผู้ผลิตน้ำมันในสหรัฐอเมริกา อาจกลับมาลงทุนขุดเจาะน้ำมันเพิ่มขึ้นหากราคาน้ำมันยืนอยู่ที่ระดับ 50 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลได้อย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มเห็นสัญญาณจากจำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐฯ ที่เริ่มทรงตัวในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม หลังจากที่ปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่องในช่วงก่อนหน้านี้


    นอกจากนี้ การปรับน้ำหนักการลงทุนของดัชนี MSCI Emerging Market ในวันที่ 31 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่อาจเผชิญแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติ ตามการปรับน้ำหนักของดัชนี MSCI Emerging Market ซึ่งจะมีผล ณ สิ้นเดือน พฤษภาคม ซึ่งมีการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน ADR (American Depositary Receipt) ของบริษัทขนาดใหญ่ของจีน ที่ซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เช่น บริษัท Alibaba และ Baidu และจะส่งผลให้น้ำหนักของตลาดหุ้นอื่นๆ ในดัชนี MSCI Emerging Market รวมทั้งตลาดหุ้นไทยลดลง การปรับน้ำหนักการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติตามดัชนีใหม่อาจส่งผลให้กระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย(ฟันด์โฟลว์)ที่ไหลเข้าตลาดเกิดใหม่มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์อาจพลิกกลับเป็นไหลออกในช่วงไตรมาส 2 และกดดันตลาดหุ้นในตลาดเกิดใหม่มากกว่าในตลาดพัฒนาแล้ว

    ในประเด็นการประชุมธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา(เฟด)ในวันที่ 15 มิถุนายนนี้ นายคมศร กล่าวว่า ตลาดเริ่มให้น้ำหนักกับการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมช่วงกลางปีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยความน่าจะเป็นในการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดภายในเดือนกรกฎาคมได้เพิ่มขึ้นสูงกว่า 50% ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ กลับมาแข็งค่าและเป็นปัจจัยกดดันราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ตลาดหุ้น รวมถึงค่าเงินในตลาดเกิดใหม่ต่อไป

    ขณะเดียวกันการลงประชามติการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปของอังกฤษ (Brexit) ในวันที่ 23 มิถุนายน ผลการสำรวจล่าสุดชี้ว่าประชาชนส่วนใหญ่ต้องการให้อังกฤษเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป(อียู)ต่อไปแต่ยังมีประชาชนอีกเป็นจำนวนมากที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ ซึ่งทำให้ความเสี่ยงในการออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปของอังกฤษยังเป็นความเสี่ยงที่ตลาดจับตามอง

    อย่างไรก็ตาศูนย์วิจัยทิสโก้ มองว่าการปรับฐานของตลาดหุ้นไทยในเดือนมิถุนายนนั้น จะเกิดขึ้นเพียงระยะสั้น ในขณะที่พื้นฐานทางเศรษฐกิจและการเติบโตของกำไรจะช่วยสนับสนุนให้ตลาดหุ้นกลับมาฟื้นตัวขึ้นได้ในช่วงครึ่งหลังของปี แนะนำให้ใช้โอกาสที่ตลาดปรับฐานในการเข้าลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่น เนื่องจากคาดว่าแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดจะส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐฯ กลับมาแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินเยน และเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนตลาดหุ้นญี่ปุ่นต่อไป ส่วนในกลุ่มตลาดเกิดใหม่เราแนะนำให้เน้นลงทุนในตลาดหุ้นจีน

    นางสาวณัชชา สุนทรธาราวงศ์ กรรมการผู้จัดการอาวุโส สายพัฒนาธุรกิจ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.)ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกจะมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ภาวะการลงทุนยังคงมีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง นอกจากการแนะนำปรับพอร์ตการลงทุนด้วยการกระจายสินทรัพย์ต่างๆ แล้ว แนะนำให้นักลงทุนแสวงหาโอกาสการลงทุนใหม่ๆ ซึ่งเป็นการลงทุนที่สามารถสร้างโอกาสรับผลตอบแทนได้ทั้งช่วงตลาดขึ้นและขาลงได้ พร้อมกับนโยบายควบคุมความผันผวน

    ภายใต้สถานการณ์ที่การลงทุนทั่วโลกผันผวน บลจ. ยูโอบีฯได้ร่วมมือกับเจ.พี.มอร์แกน ฟันด์ ( JP Morgan Funds ) ออกกองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล แม็คโคร ออพพอร์ทูนิตี้ส์ (UGMAC) เพื่อตอบโจทย์สภาวะตลาดดังกล่าว
    ทั้งนี้จากการคาดการณ์เศรษฐกิจทั่วโลกในปีนี้ยังคงเผชิญกับความผันผวน ส่งผลนักลงทุนมีการปรับกลยุทธ์การลงทุนด้วยการกระจายการลงทุนทั่วโลกทั้งในตราสารทุนและตราสารหนี้ ซึ่งเป็นการลงทุนแบบดั้งเดิม (Traditional) อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการแสวงหาผลตอบแทนในช่วงตลาดขาลง และเป็นการบริหารความเสี่ยงจากการลงทุนในสินทรัพย์ จึงเป็นที่มาของแนวคิดการสร้างผลตอบแทนเป็นบวกอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ด้วยการลงทุนแบบประยุกต์
    (Sophisticated) เป็นการผสมผสานการลงทุนแบบดั้งเดิมที่ลงทุนขาซื้อ(Long) และมีการเพิ่มกลยุทธ์ลงทุนในขาขาย (Short) ด้วยในเวลาเดียวกัน มีวัตถุประสงค์สร้างผลตอบแทนจากส่วนต่างของการซื้อและขายหลักทรัพย์เหล่านั้น และมีความผันผวนน้อยกว่าตลาด อย่างไรก็ตาม การลงทุนในกลยุทธ์นี้ยังมีความเสี่ยงที่ต้องคำนึงถึง คือ ในสภาวะที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือ ราคาหลักทรัพย์อาจจะไม่เคลื่อนไหวไปตามทิศทางที่คาดการณ์ไว้

    สำหรับกองทุนเปิด ยูไนเต็ด โกลบอล แม็คโคร ออพพอร์ทูนิตี้ส์ กระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายประเภทเพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีสม่ำเสมอทั้งในช่วงตลาดขาขึ้นและขาลง ผ่านกองทุน JPMorgan Global Macro Opportunities Fund (กองทุนหลัก) ที่มีนโยบายการลงทุนเพื่อสร้างรายรับและการเติบโตของเงินลงทุนในระยะกลางและยาวโดยลงทุนในหลักทรัพย์ทั่วโลกรวมถึงตราสารอนุพันธ์ทางการเงินตามความเหมาะสม

    นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย แนะนำว่าในเดือนมิถุนายนนี้แนะนำลงทุนในหุ้นที่จ่ายปันผลดีและลงทุนในตราสารหนี้เพื่อหลีกเลี่ยงความผันผวนของตลาดหุ้น

    ที่มา: thansettakij

    0 comments:

    Post a Comment