แบล็คลิส”ธัมมี” DSIแก้เขิน
ห้ามออกนอกประเทศ จ่อฟันศิษย์วัดขวางตร.
“ไพบูลย์”ยังขู่จับรายวัน จับตาน้ำเลี้ยงธรรมกาย
ตร.-ดีเอสไอ เมิน “ธัมมชโย” ตั้งข้ออ้าง “มอบตัวเมื่อประเทศมีประชาธิปไตย” ประสาน สตม.ขึ้นแบล็คลิสต์ห้ามออกนอกประเทศ “ศรีวราห์” เผยดีใจไม่มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น จ่อเรียกสอบสวนแก๊งศิษยานุศิษย์-สาวก ฐานขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่จับกุมผู้ต้องหา “ไพบูลย์” กร้าวต้องบังคับใช้กฎหมายไม่มีใครยืนอยู่เหนือกฎหมาย ด้าน “วิษณุ” จวกข้ออ้างฟังไม่ขึ้น! ยันผู้ปฏิบัติไม่หวั่นไหว เจอมาเยอะ ชี้หมายค้นหมดอายุก็ขอหมาย ส่วน “สุวพันธุ์” ชี้สังคมเห็นแล้วอะไรถูกไม่ถูก เย้ยเดี๋ยวก็อ้างเงื่อนไขอื่นอีก ทางด้าน คสช.จับตาท่อน้ำเลี้ยงธรรมกาย เพิ่มความเข้มด่านตรวจรอบวัด ระบุบุกธรรมกายไม่ได้พุ่งเป้าแค่จับ “ธัมมี่” หวังล้วงตับได้ข้อมูลเพิ่มเรื่องมวลชน
แบล็คลิสต์ “ธัมมชโย” ห้ามออกนอก
เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 17 มิ.ย.59 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. กล่าวว่า สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ได้ทำการขึ้นบัญชีดำพระเทพญาณมหามุนี หรือ พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ห้ามออกนอกประเทศ หลังปฏิบัติการร่วมกับดีเอสไอ บุกค้นวัดพระธรรมกายเมื่อวันที่ 16 มิ.ย.ไม่สำเร็จ ขณะเดียวกัน ดีเอสไอ ได้มีการแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่ขัดขวางเจ้าหน้าที่ ในทุกข้อหาที่เกี่ยวข้อง พร้อมทยอยส่งภาพนิ่งและภาพวิดีโอ ให้กับพนักงานสอบสวนแล้ว ซึ่งจะมีการเรียกมาสอบสวนดำเนินคดีต่อไป พร้อมขยายผลถึงผู้สั่งการขัดขวางเจ้าหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลใด ก็ต้องดำเนินคดีด้วย แต่ขณะนี้ ยังไม่มีหลักฐานว่า พระธัมมชโย เป็นผู้สั่งการ ทั้งนี้ตนพอใจการปฏิบัติหน้าที่ เพราะไม่มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น และไม่มีความเคลื่อนไหวของกลุ่มมือที่ 3 และตำรวจพร้อมสนับสนุนกำลังพลทันที หากดีเอสไอร้องขอ
ด้าน พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. กล่าวว่า ไม่อยากให้มองว่าการเข้าไปบุกค้นวัดพระธรรมกายไม่สำเร็จเป็นมวยล้ม ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ในขณะเดียวกันก็พยายามไม่ให้เกิดความรุนแรงระหว่างเจ้าหน้าที่และลูกศิษย์วัดพระธรรมกาย อย่างไรก็ตามกรณีที่ดีเอสไอไปแจ้งความดำเนินคดีกับลูกศิษย์พระธัมมชโยนั้น ตำรวจจะสอบสวนไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ว่าเข้าข่ายขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ คงต้องไปดูในรายละเอียดอื่นๆ ด้วย ส่วนในการดำเนินการต่อไปสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ให้การสนับสนุนอยู่แล้ว แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะดำเนินการอีกเมื่อไหร่ แต่จะมีการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเป็นระยะ ที่ผ่านมาได้ดำเนินการตามขั้นตอนตามยุทธวิธี ซึ่ง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ลงไปบัญชาการด้วยตนเองที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 พร้อมกับ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร. อย่างไรก็ตามยืนยันว่าการดำเนินการใดๆก็ตามเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ไม่ได้เข้าข้างผู้หนึ่งผู้ใด การถูกกล่าวหา ตามกฎหมายถือว่ายังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ ยังมีกระบวนการอีกหลายขั้นตอนที่จะพิสูจน์ว่าตัวเองบริสุทธิ์
“ไพบูลย์” ปัดเหลวจับ “พระธัมมชโย”
พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า ตามรายงานของ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ และ พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล รองอธิบดีดีเอสไอ.หัวหน้าชุดดำเนินการตามหมายจับที่เข้ามาชี้แจงกับตนก็เป็นไปตามการนำเสนอของสื่อมวลชน ซึ่งหลังจากที่ไม่สามารถเข้าถึงตัว พระธัมมชโย ทางเจ้าหน้าที่ได้มีการประชุมกันเรียบร้อยแล้วและทำตามขั้นตอนกฎหมาย โดยที่ผ่านมาได้ส่งสำนวนให้อัยการตรวจสอบเหลือแค่รอ พนักงานสอบสวน นำตัวผู้ต้องหามารับทราบข้อกล่าวจึงต้องขอหมายค้นแต่เมื่อไม่ได้ตัว พนักงานสอบสวนก็ยังดำเนินการตามหมายจับที่มีอยู่ อย่างไรก็ตามหากเจ้าหน้าที่มีความพร้อมก็ไปขอหมายค้นเพื่อเข้าจับกุมอีกครั้ง
พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวอีกว่า ตนได้สั่งให้ พนักงานสอบสวน ทำตามหน้าที่ในกรอบกฎหมายแต่สื่อหลายฉบับนำไปลงว่าล้มเหลว ซึ่งจริงแล้ว พนักงานสอบสวน ทำตามที่ตนสั่งและจะไปล้มเหลวได้อย่างไร ตนเชื่อว่าสังคมรู้ว่าตั้งแต่เริ่มต้นทำคดีมาทางวัดพระธรรมกายมีการวางลวดหนาม ตั้งบังเกอร์ แต่เจ้าหน้าที่พนักงานสอบสวนก็ต้องทำตามหมายจับและเมื่อได้ประเมินสถานการณ์แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเข้าไปเพื่อให้เกิดปัญหาขยายวงกว้าง แต่สิ่งที่ขยายจากเมื่อวานคือการออกหมายเรียกบุคคลที่ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ โดยบางเรื่องอาจมีการออกหมายเรียกเป็นภาพ รวมทั้ง สถานที่ภายในวัดสามารถชุมนุมทำได้หรือไม่และสิ่งเหล่านี้จะเป็นประเด็นทางกฎหมายทั้งหมด นอกจากนี้ การตระเตรียมและนำผ้ามาปิดหน้าปิดตาแสดงว่าจงใจมาไม่ปฏิบัติธรรม จงใจขัดขวางการจับกุม หากบริสุทธิ์ใจจะปิดหน้าปิดตาทำไมแปลว่าตัวเองกำลังทำผิดกฎหมายอยู่ไม่อยากให้เป็นข้อมูลของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติราชการ สิ่งเหล่านี้ พนักงานสอบสวนได้มารายงานตน จึงเตรียมนำไปชี้แจงศาลยุติธรรมเนื่องจากเป็นระเบียบอยู่แล้ว
ลั่นทุกคนต้องอยู่ภายใต้ กม.เดียวกัน
พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวต่อว่า ส่วนการดำเนินคดีไม่ว่าเป็น บุคคลธรรมดา หรือ พระ แต่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกันทั้งหมด ซึ่งการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่เป็นไปตามความเอื้ออาทรต่อสถานภาพผู้ต้องหาและดำเนินการมาโดยตลอด สำหรับพฤติการณ์ของลูกศิษย์วัดพระธรรมกายมีการถ่ายภาพและใช้เครื่องมือสื่อสารนั้นอาจเข้าข่ายความผิด ม.189 ก็ได้ ถ้าเกิดมีการขัดขวางหรือช่วยเหลือผู้ต้องหานับเป็นองค์ประกอบด้วย อีกทั้ง มีการอ้างเรื่องประชาธิปไตยนั้นตนไม่อยากพูดเนื่องจากคดีนี้อาจมองว่านำไปสู่การเมืองหรือไม่ สังคมต้องช่วยดูด้วยไม่ว่าพฤติการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น อาทิ วางลวดหนาม การตอบโต้ จึงไม่อยากโต้เถียงเพราะมันจะพัฒนาเหตุผลไปเรื่อยๆ ซึ่งการพัฒนาเหตุผลต้องเป็นที่ยอมรับตามกรอบกฎหมายและเป็นความจริงแต่หากมองเป็นคดีฉ้อโกงธรรมดาจะอ้างอะไรก็อย่าผูกปัญหาให้เกิดขึ้นเนื่องจากอ้างมาทุกวันทุกอาทิตย์และก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ทั้งนี้ ผู้ต้องหาในคดีนี้มี 5 รายแต่เจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวแล้ว 3 คนก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลยและไม่มีการอ้างเรื่องประชาธิปไตย
“คดีดังกล่าวเกิดขึ้นมาตั้งแต่รัฐบาล คสช. ยังไม่ได้เข้าทำงาน ผมบอกว่าเจ้าหน้าที่ต้องจับกุมคนผิดและหาเงินไปคืนผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนให้ได้เนื่องจากเป็นหน้าที่ต้องดำเนินการจับกุมแต่ถามว่าคนในคดีนี้ผิดหรือยัง มันยังไม่เป็นความผิดโดยสมบูรณ์ เป็นเพียงแค่พนักงานสอบสวนชี้เป็นความผิดก็ต้องขึ้นอยู่ที่ศาลยุติธรรม ซึ่ง 3 คนที่รับทราบข้อกล่าวหาก็พร้อมต่อสู้ในชั้นศาล รวมทั้ง ผมไม่รู้ว่าอัยการจะส่งฟ้องศาลหรือไม่ ผมขอยืนยันว่า ดีเอสไอ ไม่ได้ล้มเหลวอะไรในการเข้าวัดพระธรรมกายเมื่อวานนี้แต่ถ้าเกิดการสูญเสียขึ้นมานั้นเป็นความล้มเหลวมากกว่า” รมว.ยธ. กล่าว
ชี้สังคมจะยอมรับกฎหมู่เช่นนี้หรือ
พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวเพิ่มว่า ส่วนการปฏิบัติงานไม่สำเร็จอาจถูกสังคมมองว่าเป็นบุคคลพิเศษโดยภาพที่ปรากฏออกตามสื่อเนื่องจากหากเป็นบุคคลทั่วไปถูกจับกุมแล้ว ซึ่งตนเข้าใจกับพฤติกรรมนี้และสังคมยอมรับบุคคลพวกนี้หรือไม่ จะยอมรับระบบกฎหมู่พวกนี้หรือ ยอมรับคนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างนี้เหรอ ให้สังคมชั่งดูว่าระหว่างเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่กับสิ่งที่ผู้ต้องหาทำให้เกิดขึ้น ใครคือคนที่ไม่ยอมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและควรมองอย่างนั้น นอกจากนี้ การที่ผู้ต้องหาใช้ความเชื่อความศรัทธาต่อรองกับทางราชการก็ต้องให้สังคมช่วยพิจารณา
พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวด้วยว่า สังคมส่วนหนึ่งต้องการให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างถูกต้องและอยากให้เจ้าหน้าที่ช่วยจับกุม พระธัมมชโย ให้ได้แต่หากส่งทหารเข้าไปปิดล้อมจับกุมและเกิดการต่อสู้บาดเจ็บล้มตายทำให้สูญเสียก็สามารถทำได้แต่จะคุ้มค่ากับตัวผู้ต้องหาเพียงคนเดียวหรือไม่ซึ่งไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรม รวมทั้ง หากรัฐบาลชุดนี้ไม่สามารถจับกุมได้แต่รัฐบาลชุดใหม่ก็ใช้หมายจับตัวเดียวกันดำเนินการต่อไปได้
“ผมในฐานะดูแลพนักงานสอบสวนดีเอสไอ พูดเสมอว่าไม่มีใครอยู่เหนือบรรทัดฐานของกฎหมายได้ ไม่มีใครสามารถใช้อิทธิพลได้ และ ผมไม่เชื่อว่าใครจะชอบในลักษณะนั้น อย่างไรแล้วท้ายที่สุดจะใช้มาตรการปิดล้อมหรือไม่ก็ต้องพิจารณาไตร่ตรองแต่ยังไม่ถึงขั้นต้องตัดน้ำตัดไฟ” พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวปิดท้าย
“วิษณุ” อัดฟังไม่ขึ้นอ้างประชาธิปไตย
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการดำเนินการต่อลูกศิษย์วัดพระธรรมกายที่ขัดขวางการเข้าตรวจค้นวัดเพื่อนำตัวพระธัมมชโยไปดำเนินคดี ว่าขอให้เป็นเรื่องที่ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เป็นผู้พูดเอง ส่วนเงื่อนไขของลูกศิษย์ที่บอกว่าพระธัมมชโยจะมอบตัวเมื่อประเทศเป็นประชาธิปไตยแล้วนั้นก็รับทราบไว้ แต่ไม่ขอแสดงความเห็นใดๆ ผู้สื่อข่าวถามว่า ตามกฎหมายแล้วเงื่อนไขนี้สามารถอ้างได้หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า อ้างไม่ได้ และไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องไปชี้แจงว่าใช้ข้ออ้างนี้ไม่ได้
“ความจริงอย่าว่าแต่การตั้งเงื่อนไขแบบนี้เลย เงื่อนไขอื่นใดก็ตามก็ตั้งไม่ได้ทั้งนั้นกับการที่จะเข้าไปใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ การออกหมายค้น และเจ้าหน้าที่เข้าไปปฏิบัติตามหมายค้น หรือการออกหมายจับ การเข้าไปดำเนินการตามหมายจับ ทั้งหมดเป็นไปตามกฎหมายที่กำหนดไว้อยู่แล้วว่าเมื่อไหร่จะออกหมายได้ ถ้าไม่มีหมายทำไม่ได้ และถ้าฝ่าฝืนหมายจะต้องทำอย่างไร มันมีกระบวนการของมันอยู่ ดังนั้นใครจะมายกข้อแก้ตัวอื่นใดไม่ได้ จะบอกว่าไม่ว่าง รอโน่นรอนี่ ไม่ได้ อาจจะยกมาได้แต่ฟังไม่ขึ้น ซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติเขาไม่ได้หวั่นไหวอะไรตรงนี้อยู่แล้ว เพราะเขาเจอมาเยอะแล้วที่ไปดำเนินการตามหมายศาลแล้วโดนขัดขวาง และหากหมายค้นหมดอายุแล้วก็ไม่เป็นไร ไปขอใหม่ได้ จะขอทุกวันก็ได้ ไม่แปลกอะไร” นายวิษณุ กล่าว
เมื่อถามว่า การที่ศิษยานุศิษย์ไปนั่งสวดมนต์ที่หน้าวัดจำนวนมากแบบนั้นถือเป็นการขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ขอไม่ตอบ ให้เจ้าหน้าที่วินิจฉัยเอง ซึ่งเท่าที่ฟังการแถลงของเจ้าหน้าที่ก็เห็นว่าเขาพูดดี และผมก็เห็นใจเจ้าหน้าที่ที่พยายามปฏิบัติหน้าที่อย่างละมุนละม่อม อาจไม่ถูกใจหรือไม่สะใจใครบางคน แต่ในฐานะผู้ปฏิบัติตามกฎหมายก็ต้องชั่งน้ำหนักว่าผลดีและผลเสียเป็นอย่างไร เขารู้ดี ส่วนคนอื่นอาจจะไม่รู้ ก็แสดงความเห็นไป แต่อยากให้เข้าใจหัวอกของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานด้วย
“สุวพันธุ์” ไม่เข้าใจอ้างมาได้รอ ปชต.
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวถึงกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นำหมายค้นวัดพระธรรมกาย เพื่อติดตามจับกุมตัวพระธัมมชโยในข้อหาฟอกเงิน รับของโจร เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.แต่ไม่พบตัว ทั้งบรรดาลูกศิษย์ยังพยายามขัดขวางการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ว่า ตนได้มอบหมายให้ พศ.ทำงานร่วมกับคณะสงฆ์และดีเอสไออยู่เพื่อให้ทุกอย่างราบรื่น และให้เรื่องจบลงโดยที่สังคมยอมรับ และเหตุการณ์เมื่อวานนี้ดีเอสไอทำตามหน้าที่ความรับผิดชอบตามข้อกฎหมาย ส่วนจะทำได้มากน้อยแค่ไหนนั้น ดีเอสไอคงพิจารณามาตรการเพื่อดำเนินการต่อไป เพราะถือเป็นเรื่องที่สังคมให้ความสนใจติดตามและวิพากษ์วิจารณ์ เชื่อว่าสังคมเห็นแล้วว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง เหมาะสมหรือไม่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม จากการที่ตนทำงานร่วมกับคณะสงฆ์ก็มีหน้าที่สำคัญเพื่อให้กิจการของพระพุทธศาสนาเดินไปในทางที่ถูกต้องเหมาะสม เรื่องนี้จะเป็นบทเรียนสำคัญที่จะใช้ดำเนินการต่อไป
เมื่อถามว่าเรื่องนี้จะจบอย่างไร นายสุวพันธุ์กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของกฎหมาย ยังไงก็ต้องจบด้วยข้อกฎหมาย ถ้าทุกฝ่ายเดินตามข้อกฎหมายมันจะไม่มีประเด็นยืดเยื้อหรือข้อขัดแย้ง ขอให้รอดูดีเอสไอว่าจะมีมาตรการอะไรต่อไป เมื่อถามย้ำว่า การที่ลูกศิษย์วัดพระธรรมกายยื่นเงื่อนไขว่าพระธัมมชโยจะมอบตัวก็ต่อเมื่อประเทศเป็นประชาธิปไตยแล้ว นายสุวพันธุ์กล่าวย้ำว่า การปฏิบัติตามกฎหมายจะมีเงื่อนไขอื่นขึ้นมาได้หรือไม่ ตนไม่เข้าใจ ไม่เช่นนั้นถ้าทุกคนมีเงื่อนไขเช่นนี้ก็จะอ้างเงื่อนไขต่อๆ ไป เราต้องยึดเงื่อนไขของกฎหมาย การตั้งเงื่อนไขบางอย่างสังคมรู้และเข้าใจดีว่าเป็นอย่างไร สังคมเรียนรู้อะไรได้เยอะแล้ว เมื่อถามว่า การที่ลูกศิษย์วัดพระธรรมกายยื่นเงื่อนไขดังกล่าวเป็นการหักหน้ารัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หรือไม่ นายสุวพันธุ์ปฏิเสธที่จะตอบคำถามดังกล่าว
คสช.จับตาท่อน้ำเลี้ยงธรรมกาย
พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีหลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ว่าวัดพระธรรมกายเป็นพื้นที่อิทธิพล กฎหมายไม่สามารถเอาชนะกฎหมู่ได้ว่า คดีพระธัมมชโย เป็นคดีทั่วไป แต่ค่อนข้างละเอียดอ่อน ดังนั้นเจ้าหน้าที่และผู้เกี่ยวข้องจึงต้องดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไป ที่ผ่านมาการปฏิบัติทุกขั้นตอนก็เป็นไปตามหลักสากล และจากการติดตามสถานการณ์มากว่า 1 เดือน จะเห็นว่าพระธัมมชโยไม่เข้าพบเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ โดยอ้างเหตุผลเรื่องอาการอาพาธ แต่ล่าสุดมีการเบี่ยงเบนไปในประเด็นว่ากังวลเรื่องสิทธิเสรีภาพในกระบวนการยุติธรรม ซึ่ง คสช.ไม่ต้องการให้เชื่อมโยงกับการเมือง ทั้งนี้ พ.อ.วินธัยไม่ขอให้ความเห็นเมื่อถามว่าอาจจะเกิดการเลียนแบบในการใช้มวลชนหรือโล่มนุษย์ปกป้องคนผิดในกรณีอื่นๆ หรือไม่ พร้อมระบุว่าตำรวจยังไม่ได้ร้องขอกำลังสนับสนุนจาก คสช.เพื่อให้ช่วยดูแลความสงบเรียบร้อยเพิ่มเติม
ด้าน พ.อ.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ทีมโฆษก คสช. กล่าวถึงปฏิบัติการตรวจค้นวัดพระธรรมกาย ตามหมายจับของดีเอสไอ เมื่อวานนี้ (16 มิ.ย.) ว่า การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ไม่ล้มเหลวเพราะทุกฝ่ายได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มกำลัง ภายใต้กรอบของกฎหมายและสถานการณ์ที่จำกัด ซึ่งเจ้าหน้าได้พิจารณาอย่างรอบคอบว่าหากเข้าไปแล้วจะเกิดผลกระทบอย่างไร มวลชนจะปะทะกับเจ้าหน้าที่หรือไม่ และหากมีการจับกุมหรือปะทะกับคนนุ่งขาวห่มขาว ก็อาจทำให้สังคมและประชาคมโลกมองว่าเจ้าหน้าที่ที่ใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ
“จากการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เมื่อวานที่ผ่านมา ทำให้ได้ข้อมูลสำคัญหลายอย่าง เช่น จำนวนคน สถานที่ กลุ่มแกนนำ พระสงฆ์ที่มาจากภาคใต้ มวลชนภาคอีสานที่เดินทางมาล่วงหน้า 1 ถึง 2 วันก่อนที่ดีเอาไอจะเริ่มปฏิบัติการ” พ.อ.ปิยพงศ์ กล่าวและว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังจับตาธุรกรรมการเงินของวัดพระธรรมกายอย่างใกล้ชิด ว่ามีกลุ่มบุคคลใดให้การสนับสนุนหรืออยู่เบื้องหลัง ส่วนกรณีแถลงการณ์ของคณะศิษยานุศิษย์ วัดพระธรรมกายที่ระบุว่า พระธัมมชโยจะมอบตัวได้ก็ต่อเมื่อมีประชาธิปไตยที่แท้จริงนั้น ถือเป็นการเปิดเผยตัวตนว่ามีการอิงฝ่ายการเมือง ส่วนการตั้งด่านตรวจบริเวณรอบวัดพระธรรมกายนั้น เราต้องดำเนินการแน่นอนและต้องจับตาอย่างเข้มข้นมากขึ้น เชื่อว่าสื่อมวลชนจะช่วยทำให้ประชาชนเห็นว่า ภายในวัดพระธรรมกายมีสิ่งใดเกิดขึ้น หรือมีเครื่องมือพิเศษอะไร เช่น บอลลูน เป็นอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับสถานที่ปฏิบัติธรรมหรือไม่ ซึ่งทุกฝ่ายคงต้องช่วยกันตรวจสอบต่อไป
วัดพระธรรมกายเข้มเข้าออก
วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศโดยรอบของวัดพระธรรมกาย ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี โดยที่บริเวณประตู 7 ฝั่งถนนบางขันธ์หนองเสือ ได้ถูกเปิดออกให้รถเข้าผ่านออกเป็นปกติ และทางเจ้าหน้าที่วัดได้นำป้ายไวนิลเขียนข้อความให้กำลังใจพระธัมมชโย ที่ติดไว้หน้าประตูและริมรั้วรอบวัดออกไปหมดแล้ว นอกจากนี้ลูกศิษย์ยังได้นำเครื่องนับสัมมาอะระหังดิจิตอลมาให้กับสื่อมวลชนได้ดู หลังจากที่ น.พ.มโนที่เคยถูกทางวัดร้องเรียนความไม่เป็นธรรมได้ให้สัมภาษณ์กับทางทีวีช่องหนึ่งว่า เป็นเครื่องสื่อสารขนาดเล็กสำหรับสื่อสาร ซึ่งเป็นความจริงที่ศิษย์ยานุศิษย์ซื้อไว้ใช้ภายในวัด ได้นำเครื่องนับดิจิตอลออกมาให้กับสื่อมวลชนได้ดูแล้วบอกว่า เป็นแค่เครื่องนับครั้งตอนนั่งสมาธิเท่านั้น
ที่มา: banmuang
0 comments:
Post a Comment