Tuesday, August 9, 2016

Tagged Under:

ผลประชามติทำครอบครัว ทักษิณ กระอักเลือด-อนาคตดับวูบ !!

By: news media On: 6:09 PM
  • Share The Gag

  •  เมืองไทย 360 องศา
         
            "ด้วยรัฐธรรมนูญใหม่นี้ประเทศได้ก้าวถอยหลังและถอยหลังจากเส้นทางประชาธิปไตย"
         
           นั่นเป็นคำพูดของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกคลื่นมหาชนประท้วงขับไล่ และน้องสาวของ ทักษิณ ชินวัตร ที่กล่าวกับสื่อต่างประเทศหลังจากพ่ายแพ้ผลการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม หลังจากเธอและพี่ชายของเธอรวมทั้งผู้สนับสนุนต่างรณรงค์ให้ไม่รับร่างดังกล่าว
         
           เมื่อผลออกมากว่าร้อยละ 61 เห็นชอบหรือรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ผลักดันโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ขณะที่เสียงปฏิเสธหรือไม่รับมีเพียงแค่กว่าร้อยละ 38 เท่านั้น โดยมีผู้ออกมาใช้สิทธิ์ลงคะแนนกว่าร้อยละ 55 ซึ่งก็ถือว่าออกมาใช้สิทธิ์เกินครึ่ง ก็พอกล้อมแกล้มได้ว่านี่คือเสียงส่วนใหญ่
         
           ดังนั้นอย่าได้แปลกใจที่จะได้เห็นปฏิกิริยาที่แสดงอาการผิดหวัง โวยวายพยายามกล่าวโทษฝ่ายตรงข้าม พยายามอ้างว่าเป็นการลงประชามติที่ไม่เป็นมาตรฐานสากล และที่สำคัญก็คือการ"ฟ้องกับต่างประเทศ"โดยเฉพาะพวกตะวันตก
         
           อย่างไรก็ดีนั่นคือความพยายามดิ้นรนฟูมฟายตีอกชกตัว เมื่อทุกอย่างผิดไปจากความคาดหมายอย่างใหญ่หลวง ชนิดที่เรียกว่าไม่คาดคิดแบบนี้มันก็ย่อมเกิดอาการช็อกอย่างที่เห็น
         
           ผลการลงประชามติดังกล่าวไม่ใช่แต่พวก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เท่านั้นที่ช็อก และคาดไม่ถึง ยังหมายรวมถึงบรรดานักการเมืองจากพรรคการเมืองต่างๆ รวมทั้งนักเคลื่อนไหวทางการเมืองต่างๆก็ไม่คาดว่าผลจะออกมาแบบนี้ เพราะหากพิจารณาจากฐานเสียงเดิมของทั้งสองพรรคใหญ่คือ พรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ที่ประกาศพร้อมใจกัน"คว่ำ"ร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งแน่นอนว่าสำหรับพรรคเพื่อไทยย่อมมีฐานเสียงหลักอยู่ที่ ภาคเหนือ ภาคอีสาน ขณะที่ประชาธิปัตย์อยู่ที่ภาคใต้กับกรุงเทพมหานคร แต่เมื่อผลที่ออกมากลับพบว่าในภาคเหนือกับภาคอีสานแม้ว่าโหวตไม่รับ แต่คะแนนสูสีมาก มิหนำซ้ำหลายจังหวัดกลับโหวตสวนคือรับหรือเห็นชอบเฉยเลย
         

           ขณะที่ภาคใต้กับกรุงเทพมหานครนั้นไม่ต้องพูดถึงเห็นชอบกันถล่มทลาย แม้ว่าจะมีสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้นที่ไม่รับร่างและคำถามพ่วง แต่ก็พออธิบายได้ว่าการเมืองในพื้นที่ดังกล่าวนั้นแปลกแยกออกไปต่างหากมานานแล้ว เพราะไม่มีความแน่นอนมาตั้งแต่เดิมอยู่แล้ว
         
           ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งผลที่ออกมาแบบนี้มันก็ย่อมแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ากระแสการสนับสนุนที่มีต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)โดยรวม ชาวบ้านยังมีความศรัทธาและเชื่อมั่นโดยเฉพาะความต้องการให้บ้านเมืองมีการปฏิรูปตามโรดแมป
         
           ผลการโหวตคราวนี้ยังชี้ให้เห็นว่าชาวบ้านส่วนใหญ่รังเกียจนักการเมือง ไม่ให้เครดิตมองว่าพวกเขานั่นแหละคือตัวถ่วงของบ้านเมือง ชาวบ้านมองเห็นภาพการทุจริต มีพฤติกรรมที่น่ารังเกียจ ซึ่งทำให้เกิดผลโหวตดังกล่าวออกมา เพราะหากย้อนกลับไปพิจารณาเปรียบเทียบสิบ ยี่สิบปีก่อน ในช่วงที่เกิดรัฐธรรมนูญปี 40 ต่อเนื่องมาจนถึงปี 50 ตอนนั้นกระแสประชาธิปไตยเลือกตั้งมาแรงมาก กระแสนายกฯจากการเลือกตั้ง(สส.)ต้องมาก่อน ขณะที่กระแสรังเกียจเผด็ดการทหารในยุคนั้นก็แรง ดังนั้นเรื่องนายกฯคนนอกถือว่าไม่ค่อยมีใครกล้าพูดถึงมากนัก ซึ่งผิดกับยุคปัจจุบันที่ตรงกันข้าม
         
           เมื่อพูดถึงความเชื่อมั่น ความนิยมต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่สูงมีผลสำคัญต่อการโหวตเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งส่วนทางกับความนิยมของฝ่ายนักการเมือง โดยเฉพาะการเมืองในกลุ่มของ ทักษิณ ชินวัตร ที่มีแนวโน้มมีอนาคตที่ดับวูบชัดเจน นอกเหนือจากประเด็นจากคุณสมบัติต้องห้ามในรัฐธรรมนูญที่ทำให้พวกเขาต้องจบบทบาทลงไปจากประวัติคดีทุจริตติดตัวในอดีตแล้ว ยังมีผลต่อการดำเนินคดีที่เป็นอยู่ที่คาดว่าจะต้อง"เดินหน้าเต็มตัว" เพราะพิจารณาจากผลโหวต มันก็ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ และ คสช.มั่นใจมากขึ้น มั่นใจในฐานสนับสนุนที่มีอยู่ข้างหลัง
         
           ขณะเดียวกันเมื่อพูดถึงอนาคตทางการเมืองเปรียบเทียบกัน เมื่อร่างรัฐธรรมนูญที่รวมเอาบทเฉพาะกาล 5 ปีที่ให้ สว.มาจากการแต่งตั้ง 250 คนคำถามพ่วงที่ให้ร่วมโหวตเลือกนายกฯจากคนนอกได้ มันก็ย่อมมองเห็นอนาคตรำไรแล้วว่าหลังการเลือกตั้งตามโรดแมปในปี 60 ว่าจะมีโฉมหน้าอย่างไร
         
           ดังนั้นถึงได้บอกว่าอย่าได้แปลกใจที่คนในครอบครัว ทักษิณ ชินวัตร จะต้องร้องจ๊ากเมื่อรัฐธรรมนูญผ่านประชามติและมีผลบังคับใช้ เพราะไม่ต่างจากถูกประหารชีวิตทางการเมือง นั่นแหละ !!


    ที่มา: manager

    0 comments:

    Post a Comment