ก่อนวันเลือกตั้ง ทรัมป์ประกาศว่าจะขึ้นภาษีสินค้าจากจีน 45% แต่ฝ่ายจีนก็ยังเชื่อว่าทรัมป์คงแค่สร้างวาทกรรมทางการเมือง แต่หลังชนะเลือกตั้ง ทรัมป์ได้โทรศัพท์สายตรงคุยกับ "ไช่ อิงเหวิน" ประธานาธิบดีไต้หวัน ถือเป็นการแหวกนโยบายจีนเดียวที่รัฐบาลสหรัฐเคยยึดถือมาตลอด 37 ปี ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องนี้จีนโกรธยิ่งกว่าเรื่องที่ทรัมป์ประกาศจะขึ้นภาษีเสียอีก และเริ่มเตรียมตัวรับมือทรัมป์อย่างจริงจังแล้ว
สื่อมวลชนรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวภาคธุรกิจอเมริกันว่า พวกเขาวิตกกังวลว่าท่าทีแข็งกร้าวของทรัมป์ที่อาจทำให้จีนตอบโต้บริษัทอเมริกันที่ทำธุรกิจกับจีน โดยผู้เชี่ยวชาญนโยบายการค้าจีนระบุว่า "ฝ่ายจีนรู้สึกกังวลเรื่องนี้มาก และเราทราบจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ว่า รัฐบาลจีนกำลังจัดทำรายชื่อบริษัทอเมริกันที่จีนอาจโจมตีผลประโยชน์ได้ และชัดเจนว่าเป้าหมายหลักต้องเป็นบริษัทใหญ่ที่ส่งออกสินค้าไปจีน"
ปัจจุบันธุรกิจเอกชนใน 30 กว่ารัฐของอเมริกาส่งออกไปจีนรวมกันเป็นมูลค่ากว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ยังมีบริษัทอเมริกันเข้าไปทำธุรกิจในจีนเป็นมูลค่ามากกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ ธุรกิจเหล่านี้จะเผชิญความเสี่ยงถ้าหากถูกจีนตอบโต้ทางการค้า ทำให้ขณะนี้กลุ่มธุรกิจอเมริกันได้พยายามติดต่ออย่างเงียบ ๆ กับที่ปรึกษาของทรัมป์ เพราะพวกเขาเกรงว่าหากพูดเรื่องนี้อย่างเปิดเผยต่อสาธารณะก็จะตกเป็นเป้าโจมตีจากทรัมป์ แบบเดียวกับที่ "โบอิ้ง" และ "แคเรียร์" โดนมาแล้ว
จีนถือเป็นทั้งแหล่งรายได้และกำไรให้กับสินค้าสหรัฐตั้งแต่รถยนต์ไปจนถึงสินค้าไอที รวมถึงเป็นห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ซึ่งเป็นกระบวนการทางธุรกิจ ตั้งแต่การจัดซื้อจัดหาวัตถุดิบ การผลิต การจำหน่ายไปจนถึงการขนส่งถึงมือลูกค้า ที่สหรัฐจำเป็นต้องพึ่งพาอย่างขาดไม่ได้
หารือ - กลุ่มผู้บริหารระดับสูงจากยักษ์ไอทีอย่าง ทิม คุก ซีอีโอแอปเปิล และเชอริล แซนด์เบิร์ก ซีโอโอ เฟซบุ๊ก รวมถึงอีกหลายบริษัทตบเท้าเข้าร่วมโต๊ะประชุมกับ โดนัลด์ ทรัมป์ สร้างความเชื่อมั่นการพัฒนาอุตสาหกรรมไอที ภายใต้นโยบายใหม่ของผู้นำสหรัฐ
ปีที่แล้วรถยนต์ "เจนเนอรัล มอเตอร์ส" (จีเอ็ม) ที่จำหน่ายทั่วโลก 9.96 ล้านคันนั้น กว่า 1 ใน 3 ส่งขายให้กับลูกค้าชาวจีน และกำไรของจีเอ็มในจีนมีสัดส่วนประมาณ 20% ของรายได้ทั่วโลก 9.7 พันล้านดอลลาร์ ส่วนฟอร์ดมีรายได้จากลูกค้าจีน 16% ของรายได้ทั่วโลก
ธุรกิจค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของอเมริกาอย่างวอล-มาร์ตมี 432 สาขาในจีน สตาร์บัคส์ 2,500 สาขา ซึ่งสตาร์บัคส์เชื่อว่าในอนาคตจีนจะกลายเป็นตลาดใหญ่แทนสหรัฐ ส่วนโบอิ้งมีแผนจะสร้างโรงงานผลิตเครื่องบินทั้งลำในจีน เนื่องจากประเมินว่าจีนต้องการเครื่องบินใหม่ 6,800 ลำ มูลค่าประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 20 ปีข้างหน้า
ปีที่แล้ว มูลค่าการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอยู่ที่ 5.99 แสนล้านดอลลาร์ หากความสัมพันธ์ทางการค้าตึงเครียดไปถึงจุดเดือด จะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อธุรกิจสหรัฐ
"เอเดรียน โมวัต" หัวหน้ายุทธศาสตร์การลงทุนในตลาดเกิดใหม่ของเจพี มอร์แกน ระบุว่า หากทรัมป์ลงมือเปิดศึกการค้ากับจีนจริง ผลกระทบจะขยายวงกว้างกว่านั้น และเกมนี้จะมีประเทศที่ได้และเสีย ดังนั้นเจพี มอร์แกนจึงจะ "เพิ่ม" น้ำหนัก การลงทุนในตลาดหุ้น "จีนและรัสเซีย" ขณะเดียวกันจะ "ลด" น้ำหนักการลงทุนใน "เกาหลีใต้และเม็กซิโก"
เหตุผลที่จะเพิ่มน้ำหนักลงทุนในตลาดหุ้นจีนทั้งที่เป็นเป้าหมายโจมตีของทรัมป์ก็เพราะบริษัทที่อยู่ในดัชนี MSCI China เกือบทั้งหมดมีรายได้จากในประเทศ หากจีนถูกสหรัฐตอบโต้ จีนก็จะเพิ่มการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะดีต่อรายได้ของบริษัทจีน ทำให้ตลาดหุ้นจีนมีความเสี่ยงน้อยกว่าตลาดหุ้นเกาหลีใต้และไต้หวันที่บริษัทในตลาดหุ้นส่วนใหญ่เป็นบริษัทส่งออก
สำหรับ "รัสเซีย" เจพี มอร์แกนระบุว่า ไม่ได้เข้าไปลงทุนเพียงเพราะทรัมป์ถูกคอกับประธานาธิบดี "ปูติน" แต่เป็นเพราะรัสเซียนั้นจะรอดพ้นพิษสงครามการค้าที่ทรัมป์ก่อขึ้นได้อย่างสบาย นอกจากนี้ตลาดหุ้นรัสเซียยังเป็นตลาดเกิดใหม่ที่มีราคาถูกที่สุด พร้อมกับปันผลที่เพิ่มขึ้นตลอด
ที่มา: prachachat
0 comments:
Post a Comment