เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สสค.) เปิดเผยว่าการลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยเพื่อรับสวัสดิการแห่งรัฐในปีนี้ มีผู้ลงทะเบียนไม่เข้าเกณฑ์คุณสมบัติกว่า 2.5ล้านคน ทำให้เหลือ 11.67ล้านคนซึ่งยังไม่นับรวม ผู้ที่จะโดนตัดสิทธิ์จากนักศึกษาลงสำรวจข้อมูลและความต้องการในแต่ละบ้านของผู้มีรายได้น้อยอีกจำนวนหนึ่ง ทำให้ในครั้งหน้า หรือการลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยในปี 2561 จะมีมาตรการลงโทษ กับผู้ที่ลงทะเบียน แต่ไม่จนจริงซึ่งมีเจตนาไม่ดีโดยจะทำการคาดโทษ หากจนไม่จริง ในอนาคต อาจไม่ได้รับสิทธิ์รับสวัสดิการจากภาครัฐ
“การลงทะเบียนคนจน ในรอบที่ผ่านมา มีบุคคลวุฒิการศึกษาระดับ ปริญญาโทและปริญญาเอก หรือระดับด๊อกเตอร์มาลงทะเบียนเป็นจำนวนมาก โดยมีเกือบ 700 คน ที่เป็นด๊อกเตอร์ซึ่งได้ตรวจสอบเบื้องต้นแล้วและตัดสิทธิ์ไปเหลือราว 500 คน ที่จะต้องตรวจสอบอย่างแท้จริงจากการสำรวจของนักศึกษาอีกครั้งว่าเข้าเกณฑ์หรือไม่ ส่วนต่อไปจะพิจารณาให้ความช่วยเหลือกลุ่มที่เป็นคนแก่ จน พิการและมีหนี้นอกระบบว่ามีจำนวนเท่าไรและจะให้ความช่วยเหลือได้อย่างไรบ้าง” นายกฤษฎากล่าว
ด้าน นางสาว สุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า เมื่อวันที่29สิงหาคม คณะรัฐมนตรี(ครม.)เห็นชอบสวัสดิการผู้มีรายได้น้อยแล้ว จะมีการเริ่มแจกบัตรตั้งแต่วันที่ 21–30 กันยายน2560และเริ่มใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม 2560เป็นต้นไป
“โดยกรมบัญชีกลาง จะหาวิธีและมาตรการที่จะมาป้องกันการใช้บัตรและเครื่องรับชำระเงินอิเลคทรอนิกส์ หรือ อีดีซีของร้านค้าอย่างผิดวัตถุประสงค์เช่นมีลักษณะนำบัตรไปใช้รูดกับเครื่องอีดีซี ไม่มีการจ่ายเพื่อซื้อสินค้าจริงแต่กลับไปใช้หนี้ที่ค้างชำระกับร้านค้าแทน หรือไม่ได้นำไปซื้อสินค้าอุปโภคที่จำเป็น อย่างเช่นไปซื้อสุรา ยาสูบซึ่งผิดเงื่อนไข อาจจะมีการตัดสิทธิ์ กับผู้ที่ทำผิดวัตถุประสงค์เช่นเดียวกับแนวทางของ สศค.” อธิบดีกรมบัญชีกลาง ย้ำ
ทั้งนี้ หลังจากนักศึกษาทำการสำรวจผู้มีรายได้น้อยแล้วจะให้ผู้มีรายได้น้อยมาตรวจสอบสิทธิ์อีกครั้งว่า ได้รับสิทธิ์สวัสดิการจากภาครัฐหรือไม่ ในวันที่ 15กันยายน2560 ก่อนจะแจกบัตรให้ ขณะนี้ได้ทยอยกระจายบัตรไปยังหน่วยลงทะเบียนแล้วบางส่วนเพื่อรอการแจกให้ผู้มีรายได้น้อยของแต่ละพื้นที่ ป้องกันการสับสนในการดำเนินการของเจ้าหน้าที่และผู้มีรายได้น้อยที่มีสิทธิ์มารับบัตร
อธิบดีกรมบัญชีกลางกล่าวอีกว่า สำหรับ”บัตรสวัสดิการ”เบื้องต้นมีผู้มีสิทธิ์11.67ล้านคนแบ่งสวัสดิการเป็น2 ส่วน โดยส่วนที่ 1 คือ ลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน มีวงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นสินค้าเพื่อการศึกษาและวัตถุดิบเพื่อเกษตรกรรมจากร้านธงฟ้าประชารัฐและร้านอื่นๆที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด หากมีรายได้ต่ำกว่า 3 หมื่นบาทต่อปี หรืออยู่ใต้เส้นความยากจนจะได้ 300 บาทต่อคนต่อเดือน และหากรายได้สูงกว่า 3 หมื่นบาท แต่ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อปี จะได้ 200 บาทต่อคนต่อเดือน ส่วนวงเงินส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม จากร้านค้าที่กะทรวงพลังงานกำหนดจะได้ 45 บาทต่อคนต่อ 3 เดือน โดยบัตรสามารถเติมเงินได้ผ่านธนาคารกรุงไทย ใช้จ่ายกับเครื่องอีดีซีลดใช้เงินสด
ส่วนที่ 2 จะเป็นการลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง เป็นวงเงินค่าโดยสารรถเมล์และรถไฟฟ้า จำนวน 500 บาทต่อคนต่อเดือน, วงเงินค่าโดยสารรถ บขส. 500 บาทต่อคนต่อเดือน,วงเงินค่าโดยสารรถไฟ 500 บาทต่อคนต่อเดือน โดยกระทรวงคมนาคมอยู่ระหว่างติดตั้งเครื่อง e-ticket และตั๋วร่วม หรือบัตรแมงมุม บนรถเมล์และรถไฟฟ้า ส่วนรถโดยสาร บขส.และรถไฟ จะมีการติดตั้งเครื่องอีดีซี เพื่อรองรับบัตรสวัสดิการผู้มีรายได้น้อย คาดว่าจะใช้งบประมาณ 41,940 ล้านบาทต่อปี จากกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากซึ่งได้รับงบประมาณแล้ว 46,000 ล้านบาท
“โดยจะมีจำนวน 1.3 ล้านคนเท่านั้น ที่ได้รับบัตรมี 2 ชิปการ์ด จะเป็นผู้มีรายได้น้อยที่ใช้บริการรถเมล์ อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพและปริมณฑล 6 จังหวัด ได้แก่ นนทบุรี ปทุมธานี อยุธยา สมุทรปราการ สมุทรสาคร และนครปฐม ส่วนผู้มีรายได้น้อยในจังหวัดอื่น นอกเหนือจากนี้ จะไม่ได้รับสิทธิ์ เนื่องจากได้ประเมินแล้วว่าผู้มีรายได้น้อยในเขตกรุงเทพและปริมณฑล มีค่าครองชีพที่สูง และเป็นแนวทางการดำเนินชีวิตประจำวันและการทำงาน จะลดค่าเดินทางได้ส่วนหนึ่ง”อธิบดีกรมบัญชีกลาง ย้ำทิ้งท้าย
ที่มา: naewna
0 comments:
Post a Comment