เมื่อวันที่ 23 กันยายน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชานุญาตให้คณะต่าง ๆร่วมเป็นเจ้าภาพในการบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ต่อเนื่องเป็นวันที่ 245 หลังเสร็จสิ้นพิธีหลวงหรือพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสตมวาร (100 วัน) ถวายพระบรมศพการนี้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชานุญาตให้คณะต่างๆ ร่วมเป็นเจ้าภาพในการบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมพระบรมศพ โดยแบ่งออกเป็น 4 รอบ รอบละ 11 คณะ คณะละ 50 คน หมุนเวียนจนกว่าจะครบจำนวนเจ้าภาพตามที่แสดงความจำนง
พสกนิกรเนืองแน่น
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่จุดคัดกรองประชาชาก่อนเดินทางเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทั้ง 5 จุด อาทิ พระแม่ธรณีบีบมวยผม, วงเวียน รด., ข้างกระทรวงกลาโหม, ท่าช้าง, และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คราคร่ำไปด้วยประชาชน บางคนเดินทางมารอคิวตั้งแต่เวลา 21.00 น.ของวันที่ 22 ก.ย. เพื่อจะได้เข้ากราบเป็นคณะแรก ๆของวันที่ 23 ก.ย. ซึ่งสำนักพระราชวัง เปิดให้เข้ากราบในเวลา 05.00 น. และที่เดินทางมาเร็วเพื่อจะได้ไม่ร้อนมากและก็ไม่กลัวความลำบากเพราะอยากมากราบในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งในจุดคัดกรองพระแม่ธรณีบีบมวยผม มีประชาชนจำนวนมากมาเข้าคิวรอตั้งแต่หัวค่ำ โดยในช่วงเช้ามืดท้ายแถวยาวไปจนถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ส่วนจุดคัดกรองวงเวียน รด.นั้น ก็มีประชาชนมารอตั้งแต่เวลา 22.00 น.เช่นกัน เจ้าหน้าที่จึงเปิดให้ทยอยเข้าได้ โดยหัวแถวทยอยเข้าสนามหลวงแล้ว แต่ท้ายแถวก็ยังอยู่ที่วงเวียน รด.
เดินทางมาจากปากน้ำ
ด้านนางปรียกรณ์ สายทอง อายุ 43 ปี พนักงานบริษัทเอกชน ย่านช้างสามเศียร อ.เมือง จ.สมุทรปราการ กล่าวว่า ตนเดินทางมากราบในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นครั้งที่ 12 ส่วนใหญ่จะเดินทางมาวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันหยุดทำงาน แต่ครั้งนี้ ออกจากบ้านมาตั้งแต่เวลา 20.00 น.ของวันที่ 22 ก.ย.มาถึงก็มาเข้าคิวที่จุดคัดกรองพระแม่ธรณีบีบมวยผมเวลา 21.30 น. ซึ่งช่วงนั้นก็มีประชาชนเดินทางมาเข้าคิวเยอะมากแล้ว ก็ได้รู้จักกันเหมือนมาเจอญาติพี่น้อง ทุกคนเดินทางมาเพราะรักพ่อ และในวันนี้เข้ากราบเสร็จในเวลา 06.00 น.ก็ปลาบเปลื้มใจหายเหนื่อย
“ที่ผ่านมาวันหยุดหากไม่ติดธุระสำคัญก็จะพาลูก พาเพื่อนๆมากราบพระองค์ท่าน คิดถึงพระองค์ท่านอยากมากราบ ใจหายไม่อยากให้ถึงวันที่ 26 ต.ค.เลย ถึงแม้จะไม่เคยรับเสด็จฯพระองค์ท่านเลยแต่ก็รับรู้ในสิ่งที่พระองค์ท่านทำจากสื่อต่างๆ ท่านทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อคนไทยทุกอย่าง เคยคิดว่าเราตากแดดเพื่อรอเข้ากราบ ก็ไม่ลำบากเท่ากับพระองค์ที่ทรงงานต่าง ๆและทรงพระดำเนินไปเยี่ยมราษฎรตามถิ่นธุรกันดาร ท่านเหนื่อยกว่าพวกเราเยอะมาก โดยส่วนตัวก็จะจดจำทุกอย่างที่พระองค์ทำไว้ให้กับคนไทย และคำที่ท่านสอนไว้ โดยการช่วยเหลือคนอื่นถ้ามีโอกาส จะขยันอดทนไม่ย่อท้อ จะทำความดีต่อไปเพื่อถวายพระองค์ท่าน และสอนลูกๆให้ทำแต่สิ่งที่ดีๆ” นางปรียกรณ์
พสกนิกรจากปราญบุรี
ขณะที่ นางวาสนา ดงกะเรียน อายุ 54 ปี อาชีพเกษตรกร หมู่บ้านหนองกา อ.ปราญบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า ตนพร้อมกับญาติ ๆรวม 11 คน เหมารถตู้เดินทางมาถึงสนามหลวงช่วง 24.30 น.ของวันที่ 22 ก.ย.และเดินทางมากราบเป็นครั้งที่ 5 ถ้ามีโอกาสก็จะเดินทางมาอีก เนื่องจากในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อชาวบ้านหนองกาอย่างมาก เมื่อปี 2516 ขณะนี้ตนยังเรียนอยู่ชั้น ป.2 จำได้ว่าเคยรับเสด็จฯ พระองค์เสด็จฯผ่านหมู่บ้านหนองกา และทรงแวะสอบถามราษฎรที่รอรับเสด็จฯว่า “ที่นี่ที่ไหน ชาวบ้านก็ตอบพระองค์ท่านว่า ที่นี่หมู่บ้านหนองกา พระองค์ท่านก็ทรงบอกว่า ที่นี่ดี ที่นี่เข้มแข็ง ที่นี่นั่งไหว้เรียบร้อย” ทุกคนต่างดีใจที่แม้เป็นหมู่บ้านเล็กๆแต่พระองค์ท่านก็แวะเยี่ยมเยียนโดยที่ไม่มีใครรู้มาก่อน
“หลังจากที่พระองค์ท่านเสด็จฯเยี่ยมหมู่บ้านหนองกาแล้ว สังเกตุเห็นว่าความเจริญก็เข้ามาถึงหมู่บ้านของเราผู้นำหมู่บ้านได้นำแนวพระราชดำริของพระองค์มาให้ชาวบ้านได้ปฏิบัติ และมีการตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ขึ้นมา จนถึงทุกวันนี้ได้เป็นกลุ่มออมทรัพย์ต้นแบบแล้ว จะเห็นได้ว่าไม่ว่าพระองค์ท่านจะเสด็จฯไปที่ใด ที่นั่นก็จะมีแต่ความเจริญ ราษฎรมีความสุขขึ้น ความรู้สึกที่พวกเรามีต่อพระองค์ท่านนั้นหาที่เปรียบไม่ได้ ก็ปฏิญาณตนไว้ว่าจะทำตามรอยเท้าพ่อ และจะทำแต่ความดี ทำด้วยความซื่อสัตย์สุจริต อยู่อย่างพอเพียงตามที่พ่อสอน” กล่าวด้วยความซาบซึ้ง
พระราชทานอาหารน้ำดื่ม
การนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หน่วยทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ นำอาหาร ขนม ของว่าง และน้ำดื่มพระราชทานมาแจกจ่ายให้ประชาชน ที่เต็นท์อาหารพระราชทานของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งตั้งอยู่ประตูวิมานเทเวศร์ ในพระบรมมหาราชวัง เป็นประตูทางออกของพสกนิกรหลังเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ตั้งแต่เวลา 07.00-18.00 น. โดยมื้อเช้า เวลา 07.00 น.โจ๊กไก่เห็ดหอม 3,000 กล่อง ชานมเย็น-ชาเขียว 500 ขวด นมหนองโพ 2,000 กล่อง มื้อกลางวัน เวลา 11.00 น. ข้าวไก่ทอด 25,000กล่อง ข้าวไส้กรอกไก่ยอ 3,000 ถ้วย ขนมไทย 1,000 ชุด ส่วนมื้อบ่าย เวลา 16.00 น. ข้าวมันไก่ต้ม 2,000 กล่อง ข้าวผัดน้ำพริกกะปิ3,000 กล่อง เฉาก๊วยชากังราว 1,000 ถุง น้ำสมุนไพร 700 ลิตร มื้อเย็นเวลา 18.00 น. ข้าวไข่เจียว 3,000 ถ้วย ข้าวไข่พะโล้ 3,000 กล่องขนมจีนน้ำยาไก่ 3,000 กล่อง ข้าวผัดเผ็ดปลาดุก 2,000 กล่อง ข้าวน้ำพริกมะขามไข่ต้ม 1,000 กล่อง ส้มโอ มันแก้ว คุกกี้ แพนเค้ก และมีน้ำดื่มให้บริการตลอดทั้งวันด้วย
324 วัน 11 ล้านคน
วันที่ 23 กันยายน 2560 สำนักพระราชวัง ได้สรุปยอดรวมประชาชนที่เดินทางมาเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพ พระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่เวลา 05.00 น.วันที่ 22 ก.ย. ถึงเวลา 03.47 ของเช้าวันที่ 23 ก.ย. เนื่องจากยังมีประชาชนเข้าแถวรอกราบสักการะพระบรมศพอีกเป็นจำนวนมากทางเจ้าหน้าที่จึงเปิดให้ประชาชนได้เข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพได้ครบทุกคน ว่า มีจำนวนทั้งสิ้น 69,027 คน รวม 324 วัน มีจำนวน 11,065,577 คน และมีประชาชนถวายเงินเพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศล จำนวน 4,930,666 บาท รวม 324 วัน เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 820,324,701.51 บาท
ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จสวรรคต 346 วัน (13 ต.ค.59) มีการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศล 345 วัน (14 ต.ค.59) เปิดให้ลงนามถวายความอาลัย ณ ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง (ระหว่าง 15-28 ต.ค.59 รวม 14 วัน) และเปิดให้ประชาชนเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพ บนพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท (ตั้งแต่ 29 ต.ค.59) รวม 325 วัน (งดกราบถวายบังคมพระบรมศพ 1-2 ธ .ค.59, 1 ม.ค.60, 20-21 ม.ค.60
ที่มา: naewna
0 comments:
Post a Comment